Kitobni o'qish: «กลายร่าง », sahifa 5

Shrift:

บทที่เก้า

เคทลินตื่นขึ้นมาท่ามกลางความมืดมิด เธอรู้สึกได้ถึงเหล็กเย็น ๆ ที่สัมผัสกับข้อมือและข้อเท้าของเธอ แขนขาของเธอรู้สึกเจ็บปวด เธอรับรู้ได้ว่ากำลังถูกล่ามโซ่ เธอยืนอยู่ แขนของเธอยื่นออกไปด้านข้าง เธอพยายามจะเอามันออก แต่ไม่สามารถขยับได้ เท้าของเธอก็เช่นกัน โซ่เสียงดังสนั่นเมื่อเธอพยายามถอดออก และรู้สึกว่าเหล็กเย็น ๆ เหล่านี้รัดข้อมือและข้อเท้าของเธอแน่นขึ้น เธอยู่กำลังอยู่ที่ไหน?

เคทลินเปิดตากว้าง หัวใจเต้นรัว พยายามคิดว่าเธออยู่ที่ไหน อากาศที่นี่ค่อนข้างหนาว เธอยังใส่เสื้ออยู่ แต่เท้าเปล่า เธอสามารถสัมผัสได้ถึงหินเย็น ๆ ที่อยู่ใต้เท้าของเธอ และยังมีหินที่อยู่ด้านหลัง เธอยืนอยู่ติดกำแพง ถูกล่ามโซ่กับกำแพง

เธอพยายามมองไปในห้องและพยายามทำอะไรบางอย่าง แต่ความมืดมิดนั้นไม่มองเห็นอะไรเลย เธอหนาว และกระหาย เธอกลืนน้ำลาย คอของเธอเริ่มแห้ง

เธอดึงโซ่สุดแรงเกิด แม้แต่พลังใหม่ของเธอก็ไม่สามารถทำให้โซ่ขยับได้ เธอติดอยู่อย่างนั้น

เคทลินอ้าปากเพื่อตะโกนขอความช่วยเหลือ ครั้งแรกไม่เป็นผล ปากของเธอแห้งเกินไป เธอกลืนน้ำลายอีกครั้ง

“ช่วยด้วย!” เธอร้อง เสียงของเธอแหบแห้ง “ช่วยด้วย!” เธอร้องอีกครั้ง และครั้งนี้ดังขึ้น

เงียบเชียบ เธอตั้งใจฟัง เธอได้ยินเสียงลมพัดผ่านอย่างรวดเร็วจากบางแห่งในระยะไกล มันมาจากที่ไหน?

เธอพยายามนึก ครั้งล่าสุดเธออยู่ที่ไหน?

เธอจำได้ว่าเธอกลับไปที่อพาร์ทเมนท์ของเธอ เธอขมวดคิ้ว แม่ของเธอตายแล้ว เธอรู้สึกเสียใจอย่างสุดซึ้ง ราวกับว่ามันเป็นความผิดของเธอ และเธอรู้สึกสำนึกผิด เธอหวังว่าเธอสามารถเป็นลูกสาวที่ดีกว่านี้ได้ แม้ว่าแม่ของเธอจะไม่ได้ทำดีกับเธอ แม้ว่าแม่ของเธอบอกออกมาในวันก่อนว่าเธอไม่ใช่ลูกสาวที่แท้จริง เธอหมายความอย่างนั้นจริง ๆ เหรอ? หรือแค่พูดออกมาเพราะความโกรธ?

หลังจากนั้น ...คนพวกนั้นสามคน ต่างกายชุดดำ ดูซีดเซียว เข้ามาใกล้เธอ แล้วก็มี...ตำรวจ กระสุน พวกเขาสามารถหยุดกระสุนได้อย่างไร? คนพวกนี้เป็นตัวอะไร? ทำไมพวกเขาใช้คำว่า “มนุษย์”? เธอคิดว่าพวกเขาคงประสาทหลอน ถ้าเธอไม่เห็นพวกเขาหยุดกระสุนกลางอากาศ

ต่อมา...ตรอก การไล่ล่า

และจากนั้น.... ความมืดมิด

เคทลินได้ยินเสียงประตูเหล็กกระทบกัน เธอหรี่ตาขณะที่เห็นแสงไฟปรากฏออกมาในระยะไกล มันคือคบเพลิง ใครบางคนเดินตรงเข้ามาหาเธอ เขากำลังถือคบไฟ

เมื่อเขาเข้ามาใกล้ ห้องก็สว่างขึ้น เธออยู่ในห้องขนาดใหญ่ ภายในห้องเป็นหินแกะสลัก มันดูเก่าแก่

เมื่อชายคนนั้นเข้ามาใกล้ เคทลินสามารถมองเห็นใบหน้าของเขา เขาส่องคบไฟขึ้นมา เขาจ้องมาที่เธอราวกับว่าเธอเป็นแมลง

ชายคนนี้ดูท่าทางพิลึก ใบหน้าของเขาบิดเบี้ยว ทำให้เขาดูเหมือนพ่อมดซูบผอมแก่ ๆ เขายิ้มและเผยให้เห็นฟันสีส้มซี่เล็ก ๆ ลมหายใจของเขามีกลิ่นเหม็น เขาเข้ามาใกล้ ห่างจากเธอเพียงหนึ่งนิ้วและจ้องมองเธอ เขายกมือมาที่หน้าของเธอ เธอสามารถเห็นเล็บสีเหลืองยาวของเขา มันเหมือนกรงเล็บ เขาค่อย ๆ ลากปลายเล็บอย่างช้า ๆ ไปตามแก้มของเธอ ไม่ได้แรงถึงขนาดทำให้เลือดออก แต่เพียงพอที่จะทำให้เธอรังเกียจ เขายิ้มกว้างกว่าเดิม

“คุณเป็นใคร?” เคทลินถามด้วยความหวาดกลัว “ฉันอยู่ที่ไหน?”

เขายังคงยิ้มต่อไป ขณะที่กำลังสำรวจเหยื่อ เขาจ้องไปที่คอของเธอ และเลียริมฝีปากของเขา

จากนั้น เคทลินก็ได้ยินเสียงประตูเหล็กเปิดขึ้นอีกครั้ง และมองเห็นคบไฟหลายอันกำลังใกล้เข้ามา

“อย่ายุ่งกับเธอ!” เสียงตะโกนจากระยะไกล ผู้ชายที่ยืนตรงหน้าเธอรีบถอยห่างออกไปหลายฟุต เขาก้มหัวลง รู้สึกได้สติ

กลุ่มของผู้ที่ถือคบไฟทั้งหมดกำลังเดินมา และเมื่อพวกเขาเข้ามาใกล้ เธอสามารถเห็นหัวหน้าของพวกเขา เขาคือคนที่ไล่ล่าเธอที่ตรอก

เขาจ้องกลับมา ยิ้มอย่างเยือกเย็น ผู้ชายคนนี้สง่างาม เขายังดูหนุ่มแต่น่าสะพรึงกลัว เหมือนปีศาจ ดวงตาสีดำโตของเขาจ้องมาที่เธอ

เขาถูกขนาบข้างด้วยผู้ชายอีกห้าคน ทั้งหมดแต่งกายสีดำเหมือนเขา แต่รูปร่างไม่สูงใหญ่หรือดูสง่างามเหมือนเขา ในกลุ่มยังมีผู้หญิงอีกสองคน ซึ่งกำลังมองมาที่เธอด้วยสายตาเย็นชาเช่นกัน

“เธออย่าถือโทษบริวารของเราเลย” ผู้ชายพูด เสียงของเขาทุ้มลึก เยือกเย็น และจริงจัง

“คุณคือใคร?” เคทลินถาม “ทำไมฉันถึงมาอยู่ที่นี่?”

“ยกโทษให้ที่พักพิงอันหยาบกร้านแห่งนี้ด้วย” ผู้ชายพูด ไล่มือของเขาไปตามโซ่เหล็กหนาที่ตรึงเธอไว้บนกำแพง “เราจะยินดีที่จะปล่อยเธอไป” เขาพูด “ถ้าเธอเพียงตอบคำถามเราสักสองสามข้อ”

เธอมองกลับไป ไม่แน่ใจว่าต้องพูดอย่างไร

“ฉันขอแนะนำตัวก่อน ฉันชื่อ ไคล์ ฉันคือหัวหน้าของกลุ่มแบล็กไทด์” เขาหยุด “ตาเธอแล้ว”

“ฉันไม่รู้ว่าคุณต้องการอะไรจากฉัน” เคทลินตอบ

“เริ่มต้นที่ กลุ่มของเธอ เธอเป็นพวกของใคร?”

เคทลินรู้สึกสมองแตกเป็นเสี่ยง ๆ พยายามคิดว่าเธอบ้าไปแล้ว เธอกำลังจินตนาการเรื่องทั้งหมดนี้หรือ? เธอคิดว่าเธอคงติดอยู่ในความฝันบ้า ๆ แต่เธอสามารถสัมผัสได้ถึงเหล็กเย็น ๆ บนข้อมือและข้อเท้าของเธอ นั่นหมายความว่าเธอไม่ได้ฝันไปอย่างแน่นอน เธอไม่รู้ว่าต้องตอบผู้ชายคนนี้อย่างไร เขากำลังพูดถึงเรื่องอะไร? กลุ่ม? อย่างกับ...แวมไพร์?

“ฉันไม่ได้เป็นพวกของใคร” เธอพูด

เขาจ้องเธอครู่หนึ่ง จากนั้นจึงส่ายหัว

“เราเคยจัดการกับแวมไพร์เร่ร่อนมาก่อน พวกมันเหมือนกัน มันมาเพื่อทดสอบเรา เพื่อดูว่าเราคุ้มครองอาณาเขตของเราอย่างไร หลังจากนั้นก็ตามมาเพิ่มอีก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงอาณาเขต”

“แต่เธอเห็นมั้ย พวกมันไม่เคยหนีพ้น กลุ่มของเราคือกลุ่มที่แข็งแกร่งและเก่าแก่ที่สุดในดินแดนแห่งนี้ ไม่มีใครมาฆ่าในเขตนี้และหนีรอดไปได้”

“งั้นฉันจะถามเธออีกครั้ง ใครส่งเธอมา? พวกมันวางแผนจะบุกเมื่อไหร่?”

อาณาเขต? การบุกรุก? เคทลินไม่สามารถเข้าใจว่าเรื่องนี้เป็นความจริงได้อย่างไร บางทีเธออาจเผลอใช้ยาบางอย่าง บางทีโจนาห์อาจจะให้เธอกินอะไรบางอย่าง แต่เธอไม่ได้ดื่ม และไม่เคยใช้ยา เธอไม่ได้กำลังฝัน นี่คือเรื่องจริง มันแย่เกินไปและเหลือเชื่อเกินกว่าที่จะเป็นเรื่องจริง

เธอไม่สามารถบอกได้ว่าพวกเขาเป็นแค่กลุ่มคนเพี้ยน ๆ กลุ่มหนึ่ง เหมือนพวกลัทธิประหลาดหรือสังคมของคนประสาทหลอน หลังจากสิ่งที่เกิดขึ้นภายใน 48 ชั่วโมงล่าสุด เธอพบว่าเธอต้องคิดทบทวนสองเท่า ความแข็งแรงของเธอเอง พฤติกรรมของเธอ วิธีการรับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงทางร่างกายของเธอ แวมไพร์เป็นเรื่องจริงหรือ? เธอเป็นหนึ่งในพวกมันงั้นหรือ? เธอก้าวเข้าไปในสงครามระหว่างแวมไพร์? มันคงเป็นเพียงเคราะห์ของเธอ

เคทลินมองกลับไป กำลังใช้ความคิด เธอฆ่าใครไปจริง ๆ หรือ? ใครกัน? เธอจำไม่ได้ แต่เธอรู้สึกแย่ถ้าสิ่งที่เขาพูดเป็นเรื่องจริง ถ้าเธอได้ฆ่าใครบางคน นั่นมันเป็นเรื่องที่ทำให้เธอรู้สึกแย่เหนือสิ่งอื่นใด เธอรู้สึกไม่ดี ทั้งสงสารและเสียใจ ถ้ามันเป็นความจริง เธอคือฆาตกร เธอไม่ควรมีชีวิตอยู่

เธอมองกลับมาที่เขา

“ฉันไม่ได้ถูกใครส่งมา” เธอพูดออกมาในที่สุด “ฉันจำไม่ได้จริง ๆ ว่าฉันทำอะไรไป แต่ไม่ว่าฉันทำอะไรก็ตาม ฉันทำด้วยความต้องการของตัวเอง ฉันไม่รู้ว่าทำไมฉันถึงทำ ฉันเสียใจกับสิ่งที่ฉันทำ” เธอพูด “ฉันไม่ได้อยากทำ”

ไคล์หันไปมองคนอื่น ๆ พวกเขามองกลับมาที่ไคล์ ไคล์ส่ายหัวของเขา และหันกลับมามองเธอ สายตาของเขาเย็นชาและรุนแรง

“เธอทำเหมือนฉันโง่ เอาล่ะ นั่นไม่ฉลาดนัก”

ไคล์ชี้นิ้วไปที่คนของเขา พวกเขารีบเดินมาและปลดเธอออกจากโซ่ แขนของเธอถูกปล่อยลงมา เธอรู้สึกผ่อนคลายที่เลือดไหลเวียนไปยังข้อมือของเธอ พวกเขาปลดโซ่ออกจากข้อเท้าของเธอ พวกเขาสี่คน ข้างละสองคน จับไปที่แขนของเธอและหัวไหล่อย่างแน่นหนา

“ถ้าเธอไม่ตอบฉัน” ไคล์พูด “เธอจะต้องไปตอบในที่ประชุม จงจำเอาไว้ เธอเลือกเอง พวกเขาจะไม่มีเมตตา เหมือนที่ฉันทำกับเธอ”

เมื่อพวกเขาพาเธอไป ไคล์พูดว่า “อย่าทำผิดพลาด ยังไงซะเธอก็จะถูกฆ่า แต่วิธีของฉันรวดเร็วและไม่เจ็บปวด ตอนนี้เธอจะได้เห็นว่าความทรมานเป็นยังไง”

เคทลินพยายามขัดขืนในขณะที่พวกเขาลากเธอไปข้างหน้า แต่มันไร้ประโยชน์ พวกเขาพาเธอไปยังสถานที่บางแห่ง และไม่มีอะไรที่เธอสามารถทำได้นอกจากเชื่อในโชคชะตาของเธอ

และภาวนา

*

เมื่อบานประตูไม้โอ๊คเปิดออก เคทลินแทบไม่เชื่อสายตาตัวเอง ภายในห้องนั้นใหญ่โตมโหฬาร ลักษณะเป็นรูปทรงกลมขนาดใหญ่ เรียงรายด้วยเสาหินสูงนับร้อยต้น ตกแต่งอย่างสวยงาม แสงที่ส่องสว่างเพียงพอด้วยคบไฟที่ถูกวางไว้ทั่วห้องทุกระยะ 5 ฟุต มันเหมือนกับวิหารแพนธีออน ดูเก่าแก่อย่างยิ่ง

ในขณะที่เธอถูกพาเข้าไป สิ่งต่อมาที่เธอสังเกตเห็นคือเสียง ที่นี่มีคนจำนวนมาก เธอมองไปรอบตัว ผู้ชายและผู้หญิงนับร้อยคน ไม่สิ หลายพันคน พวกเขาแต่งกายชุดดำ เคลื่อนไหวไปมาอย่างรวดเร็วทั่วห้อง วิธีเคลื่อนไหวของพวกเขาดูประหลาด มันเร็วมาก มั่วไปหมด ดู...ไม่เหมือนมนุษย์

เธอได้ยินเสียงแหวกอากาศ และมองขึ้นไป คนจำนวนหลายสิบคนกำลังกระโดดหรือบินผ่านห้อง จากพื้นไปยังเพดาน จากเพดานไปยังเฉลียง จากเสาไปยังหิ้ง นั่นคือเสียงอากาศที่เธอได้ยินก่อนหน้านี้ เหมือนกับว่าเธอกำลังอยู่กลางถ้ำที่เต็มไปด้วยค้างคาว

เธอปะติดปะต่อเรื่องราวทั้งหมด และรู้สึกตกใจสุดขีด แวมไพร์มีจริงหรอ หรือว่าเธอคือหนึ่งในพวกมัน?

พวกเขาพาเธอเข้าไป เสียงโซ่พันธนาการกระทบพื้น เท้าเปล่าของเธอรู้สึกเย็นยะเยือกขณะเดินบนพื้นหิน พวกเขาพาเธอไปยังพื้นที่ตรงกลางที่ได้รับการตกแต่งด้วยกระเบื้องวงกลมขนาดใหญ่

เมื่อเธอเดินมาถึงกลางห้อง เสียงพูดค่อย ๆ หายไป การเคลื่อนไหวช้าลง แวมไพร์หลายร้อยตนเข้าประจำที่บนอัฒจันทร์หินขนาดใหญ่เบื้องหน้าเธอ บรรยากาศเหมือนการประชุมทางการเมือง เหมือนภาพที่เธอเคยเห็นในรัฐสภา---แตกต่างตรงที่ไม่ใช่นักการเมือง แต่เป็นแวมไพร์นับร้อยตน ทั้งหมดจ้องมาที่เธอ คำสั่งและความเป็นระเบียบของพวกเขาช่างน่าทึ่ง ภายในอึดใจ พวกเขานั่งประจำที่อย่างเรียบร้อย และเงียบที่สุด ภายในห้องเต็มไปด้วยความเงียบ

เมื่อเธอยืนอยู่ในตำแหน่งที่ถูกจัดการโดยบริวาร ไคล์เดินออกไปด้านข้าง กุมมือของเขาและก้มหัวลงอย่างมีสัมมาคารวะ

เบื้องหน้าของที่ประชุมมีเก้าอี้ขนาดใหญ่ มันดูเหมือนบัลลังก์ เธอมองขึ้นไปและเห็นว่าผู้ที่นั่งอยู่นั้นคือแวมไพร์ที่ดูอาวุโสกว่าคนอื่น ๆ เธอสามารถบอกได้ว่าเขาเป็นคนชรามาก มันมีบางอย่างเกี่ยวกับดวงตาสีน้ำเงินอันเย็นชาของเขา พวกเขามองลงมาที่เธอราวกับว่าพวกเขาเห็นภาพแบบนี้มา 10,000 ปีแล้ว เธอเกลียดสายตาที่เขามองเธอ มันดูเหมือนปีศาจร้าย

“เอาล่ะ” เขาพูดเสียงดังก้อง “นี่คือคนที่บุกเข้ามาในดินแดนของเรา” เขากล่าว เสียงของเขาแหบและไม่มีความอบอุ่นอย่างสิ้นเชิง เสียงของเขาสะท้อนไปทั่วห้องอันกว้างใหญ่

“ใครคือผู้นำกลุ่มของเธอ?” เขาถาม

เคทลินมองกลับไป กำลังชั่งใจว่าควรจะตอบอย่างไร เธอไม่รู้ว่าต้องพูดอะไร

“ฉันไม่มีผู้นำ” เธอพูด “และฉันไม่ได้เป็นคนของกลุ่มไหน ฉันอยู่ที่นี่ด้วยตัวของฉันเอง”

“เธอรู้บทลงโทษจากการล่วงล้ำ” เขากล่าว รอยยิ้มเริ่มเกิดขึ้นที่มุมปากของเขา “สิ่งที่แย่กว่าความเป็นอมตะ” เขากล่าวต่อ “มันคือความเป็นนิรันดร์ภายใต้ความเจ็บปวด”

เขาจ้องมาที่เธอ

“นี่คือโอกาสสุดท้ายของเธอ” เขาพูด

เธอมองกลับไป ไม่รู้จะพูดอะไรดี เธอมองจากหางตา มองไปรอบ ๆ เพื่อหาทางออก เผื่อว่ามันจะมี แต่เธอมองไม่เห็นเลย

“งั้นก็ตามใจ” เขาพูด และพยักหน้าเล็กน้อย

ประตูด้านข้างเปิดออก และสิ่งที่เห็นคือแวมไพร์ถูกล่ามโซ่ออกมา เขาถูกลากโดยบริวารมาตรงกลางห้อง ห่างจากที่เคทลินยืนอยู่ฟุตเดียว เธอมองดูด้วยความกลัว ไม่แน่ใจว่าเกิดอะไรขึ้น

“แวมไพร์ตนนี้ละเมิดกฎในการแพร่พันธุ์” ผู้นำพูด “ไม่ได้ละเมิดรุนแรงเท่าเธอ แต่ก็ถือว่าเป็นการละเมิด และต้องได้รับการลงโทษ”

ผู้นำพยักหน้าอีกครั้ง บริวารก้าวมาข้างหน้าพร้อมด้วยขวดแก้วที่มีของเหลว เขาเอื้อมออกมาและสาดใส่แวมไพร์ที่ถูกล่ามโซ่

แวมไพร์ที่ถูกล่ามแผดโซ่ร้องสุดเสียง ผิวหนังของเขาพองขึ้นทั่วแขน รอยแผลเกิดขึ้นทันที ราวกับว่าเขาถูกเผา เสียงร้องของเขาฟังดูเลวร้ายอย่างยิ่ง

“นี่ไม่ใช่เพียงน้ำศักดิ์สิทธิ์” ผู้นำกล่าว มองลงมาที่เคทลิน “แต่มันได้รับการปลุกเสกเป็นพิเศษจากนครรัฐวาติกัน ฉันรับรองได้ว่ามันจะแผดเผาจนทะลุหนังผิวและจะทวีความเจ็บปวด รุนแรงยิ่งกว่าน้ำกรด”

เขามองเคทลินด้วยสายตาโหดเหี้ยม ภายห้องเงียบงัน

“บอกเราว่าเธอมาจากที่ไหน และเธอจะได้รับการยกเว้นจากความตายอันน่ากลัวนี้”

เคทลินกลืนน้ำลาย เธอไม่ต้องการให้ผิวของเธอสัมผัสกับของเหลวนั่น มันดูแย่มาก ถ้าเธอไม่ใช่แวมไพร์จริง ๆ มันคงทำอันตรายเธอไม่ได้ แต่นี่ไม่ใช่เวลาสำหรับการทดลอง

เธอดึงโซ่อีกครั้ง แต่มันไม่ขยับเลย

เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจที่เต้นรัว เหงื่อไหลลงบนคิ้วของเธอ เธอควรบอกอะไรกับเขา?

เขามองมาที่เธอ กำลังตัดสินเธอ

“เธอกล้าหาญ ฉันชื่นชมความภักดีที่มีต่อกลุ่มของเธอ แต่เวลาของเธอหมดแล้ว”

เขาพยักหน้า เธอได้ยินเสียงโซ่ เธอมองตามไป และเห็นบริวารสองคนกำลังยกหม้อต้มขนาดใหญ่ พวกเขาดึงขึ้นสูงหลายฟุต เมื่ออยู่ที่ระดับความสูงจากพื้น 15 ฟุต พวกเขาทำการแกว่งหม้อ ซึ่งอยู่เหนือศีรษะของเธอพอดี

“น้ำศักดิ์สิทธิ์ที่สาดไปยังแวมไพร์ตนนั้นมีเพียงไม่กี่ออนซ์” ผู้นำพูด “แต่ที่อยู่ด้านบนของเธอคือหลายแกลลอน เมื่อมันสัมผัสกับร่างกายของเธอ เธอจะรู้สึกเจ็บปวดเกินกว่าที่จะจินตนาการได้ เธอจะอยู่กับความเจ็บปวดนี้ไปตลอดชีวิต เธอจะมีชีวิตต่อไป แต่ไม่สามารถเคลื่อนไหวได้ ไร้การช่วยเหลือ จงจำไว้ว่า เธอเลือกสิ่งนี้เอง”

ชายผู้นำพยักหน้า เคทลินรู้สึกว่าหัวใจของเธอเต้นเร็วกว่าเดิมสิบเท่า บริวารที่ขนาบข้างเธอ ล่ามโซ่ของเธอไว้กับเสา และวิ่งออกไปให้ห่างจากเธอเท่าที่จะเป็นไปได้

เคทลินมองขึ้นไป เธอเห็นหม้อต้มกำลังเอียงลงมา และของเหลวเริ่มเทลงมา เธอหน้าก้มลงและปิดตาของเธอ

ได้โปรดพระเจ้า ช่วยฉันด้วย!

“อย่า!” เธอร้องออกมา เสียงร้องของเธอสะท้อนไปทั่วห้อง

เคทลินเปียกชุ่มไปทั้งตัว

บทที่สิบ

น้ำจากหม้อที่เทลงสู่ตัวของเธออย่างต่อเนื่อง ทำให้ยากต่อการหายใจหรือลืมตา เมื่อผ่านไปประมาณสิบวินาที หลังจากที่ผม ร่างกายและเสื้อผ้าทั้งหมดของเธอเปียกโชกไปหมดแล้ว เคทลินกระพริบตาของเธอ เธอเตรียมตัวรับความเจ็บปวดที่กำลังจะมาถึง

แต่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เธอกระพริบตา เงยหน้าขึ้นมองหม้อต้ม สงสัยว่ายังมีน้ำอยู่หรือไม่ แต่มันว่างเปล่า เธอมองลงมาที่ตัวของเธอ และเห็นว่าเธอเปียก แต่เธอไม่เป็นอะไร ไม่มีความเจ็บปวดเลยแม้แต่นิดเดียว

ชายผู้นำลุกขึ้นจากเก้าอี้ อ้าปากค้าง เขาตกตกตะลึงเป็นอย่างมาก ไคล์ก็เช่นกัน เขาหันมามอง ปากของเขาอ้าอยู่ ทั้งห้องประชุม แวมไพร์นับร้อย ทั้งหมดยืนขึ้น และอ้าปากค้างทั่วทั้งห้อง

เคทลินเห็นได้ว่านี่ไม่ใช่ปฏิกิริยาที่พวกเขาคาดหวัง พวกเขากำลังตกตะลึงจนพูดไม่ออก

อย่างไรก็ตาม น้ำของพวกเขาไม่ได้ผลกับเธอ หรือบางทีเธออาจจะไม่ใช่แวมไพร์?

เคทลินสบโอกาส

ขณะที่พวกเขากำลังยืนอยู่ ตกใจเกินกว่าที่จะตอบสนอง เธอรวบรวมพลังของเธอ และในการเคลื่อนไหวเพียงครั้งเดียว เธอพังโซ่ออก แล้ววิ่งออกจากที่ประชุมไปทางประตูด้านข้าง เธอภาวนาให้มันนำไปที่ไหนสักแห่ง

เธอวิ่งไปได้ครึ่งทางของห้องก่อนที่พวกเขาจะหายตกใจและหันมาจัดการเธอ

“จับเธอเอาไว้!” ในที่สุดเธอก็ได้ยินเสียงผู้นำร้องออกมา

และจากนั้น พวกเขานับร้อยพุ่งมาที่เธอ เสียงสะท้อนไปมาจากกำแพงทั่วทุกที่ เธอรู้ได้ว่าพวกเขาไม่เพียงแต่วิ่งมาหาเธอ พวกเขายังกระโดดลงมาจากเพดาน ระเบียง ปีกของพวกเขากางออก เร่งความเร็วมาที่เธอ พวกเขาร่อนลงมาหาเธอ เหมือนนกอินทรีย์ที่ลงมาหาเหยื่อ และเธอเร่งฝีเท้าขึ้น วิ่งด้วยพละกำลังทั้งหมดที่เธอมี

เธอมุ่งหน้าไปท่ามกลางความมืด มีเพียงคบไฟที่คอยนำทาง และเมื่อถึงทางโค้ง ในที่สุดเธอก็มองเห็นประตูที่อยู่อีกไกล ประตูนั้นกำลังเปิดอยู่ และแสงไฟที่ส่องมาจากด้านหลังประตูต้องเป็นทางออกแน่นอน เส้นทางดูปลอดโปร่ง ยกเว้นเพียงอย่างเดียว แวมไพร์ตัวสุดท้ายที่อยู่ตรงนั้น

เขายืนอยู่หน้าประตู กำลังขวางทางเธอ แวมไพร์สูงใหญ่ รูปร่างดี แต่งกายชุดดำ เขาดูหนุ่มกว่าคนอื่น ๆ น่าจะอายุประมาณ 20 ปี เขาช่างดูสง่างาม แม้ว่าเธอกำลังเร่งรีบ แม้ว่าชีวิตของเธอกำลังตกอยู่ในอันตราย เคทลินกลับรู้สึกอดไม่ได้ที่จะสังเกตว่าแวมไพร์ตัวนี้น่าดึงดูดขนาดไหน เขายังคงขวางทางออกที่มีอยู่เพียงทางเดียวของเธอ

เธอสามารถวิ่งหนีคนอื่นได้ แต่เธอไม่สามารถผ่านผู้ชายคนนี้ได้โดยปราศจากการวิ่งไปตรง ๆ เขาเปิดประตูกว้างขึ้น ราวกับการทำทางให้เธอผ่านไป หรือว่าเขากำลังหลอกเธอ? เธอมองตรงไปและเห็นว่าเขาถือหอกยาวอยู่ในมือ

เมื่อเธอเข้าไปใกล้มากขึ้น เขายกหอกขึ้นและเล็งมาที่เธอ ตอนนี้เธออยู่ห่างจากประตูเพียงหนึ่งฟุต และเธอไม่สามารถหยุดได้ พวกเขาตามหลังเธอมาและถ้าเธอลดความเร็วลง มันคือจุดจบของเธอ ดังนั้นเธอจึงวิ่งไปที่เขา พร้อมที่จะหลับตาลงและเตรียมตัวรับผลที่ไม่อาจหลีกเลี่ยงจากหอกของเขาที่กำลังจะพุ่งผ่านตัวเธอไป อย่างน้อยมันคงเป็นการเจ็บปวดที่รวดเร็ว

ก่อนที่เธอจะปิดตา เธอมองเห็นเขาเขวี้ยงหอกออกไป และเธอก้มลงทันที

แต่เขาเล็งสูงเกินไป ทิศทางนั้นอยู่ในระดับที่สูงเกินไป เธอชะเง้อคอมองไปด้านหลัง และเห็นว่าเขาไม่ได้เล็งมาที่เธอตั้งแต่แรก แต่เล็งไปที่หนึ่งในแวมไพร์ซึ่งกำลังวิ่งไล่หลังเธอ หอกเงินพุ่งทะลุคอของแวมไพร์ และเสียงอันน่ากลัวดังกึกก้องไปทั่ว แวมไพร์ตัวนั้นล้มลงบนพื้น

เคทลินมองไปที่แวมไพร์คนใหม่อย่างสงสัย เขาเพิ่งช่วยชีวิตเธอไว้ ทำไม?

“ไป!” เขาร้องออกมา

เธอเร่งความเร็วและวิ่งตรงไปยังประตูที่เปิดอยู่

หลังจากนั้น เขาหันกลับมาพร้อมกับเธอและปิดประตูด้วยแรงทั้งหมดของเขา เขาปิดประตูอย่างแน่นหนา เขาเอื้อมมือออกมาอย่างรวดเร็ว สอดแท่งเหล็กขนาดใหญ่ และวางขวางประตูไว้ เขาถอยออกมาหลายก้าว ยืนข้างเธอ มองไปที่ประตู

เธอไม่อาจห้ามตัวไม่ให้มองไปที่เขา แนวคางที่ได้รูป ผมสีน้ำตาล และดวงตาสีน้ำตาลของเขา เขาช่วยเธอทำไม?

แต่เขาไม่หันมามองเธอเลย เขายังคงมองไปที่ประตู ความกลัวปรากฏอยู่ในแววตาของเขา หลังจากที่เขากั้นประตูไว้เพียงไม่กี่วินาที คนที่อยู่ด้านในกระแทกออกมา ประตูเหล็กกล้าหนากว่าหกฟุต กำลังถูกปะทะจากอีกฝั่ง ประตูเริ่มงอ ดูเหมือนว่าจะพวกเขาจะพังมันออกมาในอีกไม่กี่วินาที

“ไปเร็ว!” เขาตะโกน ก่อนที่เธอจะทันโต้ตอบ เขาจับแขนของเธอและพาเธอวิ่งออกไป ทำให้เธอวิ่งเร็วกว่าเดิม เร็วมากกว่าที่เธอจะสามารถทำได้ ภายในไม่กี่วินาทีพวกเขาก็วิ่งไปตามทางเดินที่สลับซับซ้อน เลาะเลี้ยวไปเรื่อย ๆ สิ่งเดียวที่พวกเขามองเห็นเป็นช่วง ๆ คือคบไฟ เธอไม่สามารถออกไปจากที่ได้ด้วยของเธอตัวเองแน่ ๆ

“เกิดอะไรขึ้น?” เคทลินพยายามถามในขณะที่กำลังวิ่ง หายใจเหนื่อยหอบ “เราอยู่ที่---”

“ทางนี้!” เขาตะโกน กระชากเธอไปอีกทิศทางทันที

ด้านหลังของพวกเขา เคทลินได้ยินเสียงดัง ตามมาด้วยเสียงคนจำนวนมากที่กำลังมุ่งหน้ามา

พวกเขามาถึงบันไดวนที่ทำมาจากหิน หมุนวนขึ้นไปตามแนวกำแพง เขาวิ่งด้วยความเร็วสูงไปตามขั้นบันได ดึงมือเธอไปกับเขา และก่อนที่เธอจะรู้ตัว พวกเขาก็วิ่งขึ้นขั้นบันได หมุนวนเป็นวงกลม ก้าวทีละสามขั้น พวกเขาขึ้นไปอย่างรวดเร็ว

เมื่อพวกเขามาถึงด้านบน ดูเหมือนจะเป็นทางตันที่มีกำแพง ข้างบนเป็นเพดานหิน เธอมองไม่เห็นทางออกอื่น มันคือทางตัน เขาพาเธอมาที่ไหน?

เขารู้สึกสับสน และฉุนเฉียวในเวลาเดียวกัน แต่เขาดูมุ่งมั่น เขาถอยหลังออกไปไม่กี่ก้าว และเริ่มออกวิ่ง พุ่งไปที่เพดาน มันช่างเหลือเชื่อ พลังเหนือมนุษย์ทำให้เขาทะลุกำแพงออกไปกลายเป็นรู หินพังทลายลง แสงสาดส่องเข้ามา มันคือแสงไฟฟ้า พวกเขาอยู่ที่ไหน?

“มาเร็ว!” เขาตะโกน

เขาเอื้อมมือลงมาและจับแขนของเธอ ดึงเธอขึ้นไป ผ่านเพดานและเข้าไปยังห้องที่มีแสงสว่าง

เธอมองไปรอบ ๆ ดูเหมือนว่าพวกเขากำลังอยู่ในศาลหรือพิพิธภัณฑ์ โครงสร้างภายในที่สวยงามและโอ่อ่า พื้นหินอ่อนส่องประกาย ห้องทั้งหมดทำมาจากหิน และประดับด้วยเสาหิน ลักษณะทรงกลมเหมือนอาคารสำนักงานของรัฐบาล

“พวกเราอยู่ที่ไหน?” เธอถาม

เขาจับมือของเธอและพาวิ่งออกไป ดึงเธอด้วยความเร็วแสง เขากำลังจู่โจมไปที่ประตูเหล็กขนาดใหญ่ เขาปล่อยมือของเธอและพุ่งเข้าไป กระแทกไหล่ของเขาเข้าอย่างแรง ประตูพังกระจายและเปิดออก

เธอรีบตามเขาไป เธอได้ยินเสียงหินเคลื่อนไหวจากด้านหลัง และเธอรู้ว่าพวกนั้นกำลังใกล้เข้ามา

ในที่สุดพวกเขาก็ออกมาข้างนอก อากาศกลางคืนที่หนาวเย็นพัดผ่านใบหน้าของเธอ เธอรู้สึกมีความสุขมากที่ได้ออกมาจากใต้ดิน

เธอพยายามนึกถึงตำแหน่งของเธอ พวกเขาอยู่ในนิวยอร์กแน่นอน แล้วที่ไหนล่ะ? รอบตัวเธอดูคุ้นเคยแต่ไม่แน่ใจ เธอมองเห็นถนน แท็กซี่วิ่งผ่านไป เธอหันไปมองตึกที่พวกเขาเพิ่งออกมา ศาลากลางของเมือง พวกนั้นอยู่ใต้ศาลากลาง

พวกเขาวิ่งลงมาและข้ามสนามหญ้า มุ่งหน้าไปยังถนน พวกเขายังออกมาได้ไม่ไกลนักก็ได้ยินเสียงประตูที่กำลังเปิดอยู่ข้างหลัง กลุ่มของแวมไพร์

พวกเขามุ่งหน้าไปยังประตูเหล็กขนาดใหญ่ เมื่อเข้าไปใกล้ประตู เจ้าหน้าที่รักษาความปลอดภัยสองนายหันมา และเห็นพวกเขากำลังวิ่งไปที่ประตู เจ้าหน้าที่เบิกตากว้างด้วยความตกใจ และเอื้อมมือไปจับปืน

“อย่าขยับ!” เขาตะโกน

ก่อนที่เจ้าหน้าที่จะทันตอบสนอง เขาจับแขนของเธอแน่น ก้าวกระโดดไปสามครั้ง และกระโจนด้วยพลังทั้งหมดที่มี เธอรู้สึกว่าพวกเขากำลังลอยอยู่ในอากาศที่ระดับ 10 ฟุต 20 ผ่านประตูเหล็ก และร่อนลงอีกฝั่งอย่างสวยงาม

พวกเขาแตะลงพื้นและวิ่งต่อ เธอมองดูคนที่ปกป้องเธอและประหลาดใจ สงสัยว่าเขามีพลังมากแค่ไหน สงสัยว่าทำไมเขาถึงห่วงใยเธอ และสงสัยว่าทำไมเธอถึงรู้สึกดีที่อยู่ข้างเขา

ก่อนที่เธอจะคิดอะไรต่อ เสียงเหล็กกระแทกดังขึ้นที่ด้านหลัง ตามมาด้วยเสียงปืน แวมไพร์ตัวอื่นกำลังวิ่งออกมา เขาจัดการกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ พวกมันใกล้เข้ามาแล้ว

พวกเขายังคงวิ่งต่อไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล กลุ่มพวกมันใกล้เข้ามาเรื่อย ๆ

ทันใดนั้น เขาตัดสินใจจับมือของเธอและเลี้ยวไปยังหัวมุม พวกเขาลงไปข้างถนน มันสิ้นสุดที่กำแพง

“มันคือทางตัน!” เธอตะโกน แต่เขายังวิ่งต่อ และลากเธอไปกับเขา

เขาไปถึงทางตัน คุกเข่าลง และใช้นิ้วเอื้อมไปดึงฝาท่อเหล็กขนาดใหญ่ขึ้นมา

เธอหันไป และมองเห็นกลุ่มของแวมไพร์จำนวนมากกำลังมุ่งหน้ามา อีกไม่ถึง 20 ฟุต

“ลงไป!” เขาตะโกน ก่อนที่เธอจะทันตั้งตัว เขาจับเธอและผลักเธอลงไปในท่อ

เธอจับบันไดไว้ และเมื่อมองขึ้นไป เธอเห็นเขาเตรียมตัวรับมือ เขายกฝาท่อขึ้นมาเป็นโล่

เขาตกเป็นเป้าท่ามกลางกลุ่มแวมไพร์ เขาเหวี่ยงฝาท่ออย่างบ้าคลั่ง เธอได้ยินเสียงของการต่อสู้ เขาจัดการแวมไพร์ตัวแล้วตัวเล่าด้วยเหล็กขนาดใหญ่ เขาพยายามลงไปหาเธอในท่อ แต่เขาไม่สามารถทำได้ เขากำลังถูกล้อมรอบ

เธอพยายามจะไต่ขึ้นไปเพื่อช่วยเขา ทันใดนั้น แวมไพร์ตัวหนึ่งแยกออกมาจากกลุ่ม และลอดเข้ามาในท่อ มันมองเห็นเคทลิน ส่งเสียงขู่ และเข้ามาหาเธอ

เธอรีบปีนบันไดลง ลงมาทีละสองขั้น แต่มันยังไม่เร็วพอ เขาร่อนลงสู่เธอ ทั้งคู่ร่วงลงไป

เมื่อเธอลอยอยู่ในอากาศ เตรียมตัวรับแรงกระแทก แต่ทว่าโชคดี พวกเขาร่วงลงไปในน้ำ

เมื่อเธอลุกขึ้นมา เปียกโชกไปทั้งตัว เธอกำลังอยู่ในท่อระบายน้ำที่สกปรก

เธอไม่มีเวลาจะคิดเรื่องอื่น แวมไพร์ที่หล่นลงข้างเธอกำลังง้างมือขึ้น เขาฟาดหลังมือไปที่ใบหน้าของเธอ ทำให้เธอกระเด็นออกไปหลายฟุต

เธอนอนนิ่งอยู่ในน้ำ และเห็นเขากระโจนเข้ามาอีกที พุ่งมาที่คอของเธอ เธอม้วนตัวออกทันเวลา กระโดดขึ้นยืน เขารวดเร็ว แต่เธอก็เร็วเช่นกัน

เขาทำหน้าไม่พอใจ เขาลุกขึ้นและแสดงความเกรี้ยวกราดออกมา ง้างมือขวาที่เป็นกรงเล็บพุ่งตรงไปที่ใบหน้าของเธอ เธอหลบทัน มือของเขาผ่านเธอไปแบบฉิวเฉียด ลมผ่านแก้มของเธอ มือของเขาชนเข้ากับกำแพงอย่างแรงและติดอยู่ในหิน

เคทลินเริ่มโมโห ความโกรธสุดขีดกำลังพุ่งพล่านอยู่ในเส้นเลือดของเธอ เธอเดินไปหาแวมไพร์ที่ติดอยู่ ง้างเท้าของเธอไปข้างหลัง และเตะสุดแรงไปที่ท้อง เขาตัวงอลง

เธอจับเขาจากด้านหลังและเหวี่ยงเข้ากับกำแพง หัวของเขากระแทกเข้ากับหินอย่างรุนแรง เธอภูมิใจกับผลงานตัวเองที่รู้ว่าเธอจัดการเขาเรียบร้อยแล้ว

แต่เธอก็ต้องตกใจกับความเจ็บปวดบนใบหน้าแบบไม่ทันตั้งตัว เธอพบว่าตัวเองถูกฟาดด้วยหลังมืออีกครั้ง แวมไพร์ตัวนี้ฟื้นฟูอย่างรวดเร็ว --- เร็วกว่าที่เธอคาดคิด ก่อนที่เธอจะทันตั้งตัว เขาขึ้นมาบนตัวเธอ และทุ่มแรงกระแทกใส่เธอ ทำให้เธอล้มลง เธอประเมินเขาต่ำเกินไป

มือของเขาวางอยู่บนคอของเธอ เขาพร้อมที่จะฆ่า เธอแข็งแรง แต่เขาแข็งแรงกว่า เขามีพลังอำนาจอันเก่าแก่วิ่งผ่านไปทั่วร่างกาย มือของเขาเย็นชืด เธอพยายามขัดขืน แต่ไม่อาจต้านทานได้ เธอล้มลง คุกเข่าข้างเดียว และเขาบีบคอเธอแรงขึ้น เขาผลักหัวเธอลงไปในน้ำ ช่วงวินาทีสุดท้าย เธอร้องตะโกนออกมา “ช่วยด้วย!”

วินาทีต่อมา หัวของเธอจมอยู่ใต้น้ำ

*

เคทลินรู้สึกถึงการหยุดชะงัก คลื่นน้ำกระแทกเข้ามา ใครอีกคนลงมาในน้ำ เธอกำลังเสียออกซิเจนอย่างรวดเร็ว ไม่สามารถต่อสู้กลับได้

เคทลินรู้สึกถึงแขนที่แข็งแรงใต้ตัวเธอ และรับรู้ได้ว่าเธอถูกยกลอยขึ้นมาเหนือน้ำ

เธอกระโดดขึ้นและอ้าปากเพื่อหายใจ สูดหายใจลึก เธอหายใจถี่ ๆ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า

“เธอเป็นอะไรมั้ย?” เขาถาม จับที่ไหล่ของเธอ

เธอพยักหน้า มันเป็นสิ่งดียวที่เธอสามารถทำได้ตอนนี้ เธอมองไปรอบ ๆ และเห็นคนที่มาทำร้ายเธอนอนนิ่งอยู่ที่นั่น ลอยอยู่ในน้ำ เลือดซึมออกมาจากคอของเขา เขาตายแล้ว

เธอมองมาที่เขา ดวงตาสีน้ำตาลของเขามองลงมาที่เธอ เขาช่วยเธอเอาไว้ อีกครั้ง

“เราต้องไปต่อ” เขาพูด พร้อมจับแขนของเธอและพาเธอไป ผ่านน้ำที่สูงระดับเอว “ฝาท่อนั้นคงขวางไว้ได้ไม่นาน”

แล้วก็เป็นไปตามคาด ฝาท่อด้านบนพังทลายลง

พวกเขาวิ่งอย่างรวดเร็ว เลี้ยวไปตามอุโมงค์แล้วอุโมงค์เล่า และได้ยินเสียงน้ำกระเด็นดังมาจากด้านหลังพวกเขา

เขาเลี้ยวหักมุมอย่างรวดเร็ว ระดับน้ำลดลงเหลือที่ข้อเท้า พวกเขาเริ่มใช้ความเร็วได้มากขึ้น

พวกเขาเข้าไปในอีกอุโมงค์หนึ่ง และพบว่าพวกเขากำลังอยู่ท่ามกลางระบบสาธารณูปโภคหลักของนิวยอร์ก ที่นี่มีท่อไอน้ำขนาดใหญ่ กำลังปล่อยควันออกมา ความร้อนที่ไม่สามารถทนได้

เขาพาเธอไปยังอีกอุโมงค์ อุ้มเธอขึ้นมาและวางเธอไว้บนหลังของเขา ประสานแขนของเธอไว้รอบอก และขึ้นบันไดไปทีละสามขั้น พวกเขาขึ้นไปเรื่อย ๆ และเมื่อขึ้นไปถึงด้านบน เขาชกไปที่ฝาท่อ ทำให้ฝาท่อลอยกระเด็นออกไป

พวกเขาขึ้นมาบนพื้นดิน บนถนนนิวยอร์ก อยู่ที่ไหน เธอก็ไม่รู้เหมือนกัน

“จับเอาไว้แน่น ๆ” เขาพูด เธอประสานมือรอบอกของเขาแน่นขึ้น เขาเริ่มออกวิ่ง ความเร็วของเขามากกว่าที่เธอเคยพบเจอ เธอเคยมีความทรงจำเกี่ยวกับการซ้อนมอเตอร์ไซค์ครั้งหนึ่ง เมื่อหลายปีมาแล้ว ลมที่พัดผ่านเส้นผมของเธอด้วยความเร็ว 60 ไมล์ต่อชั่วโมง ความรู้สึกเหมือนกับตอนนั้น แต่เร็วกว่ามาก

พวกเขาต้องทำความเร็ว 80 ไมล์ต่อชั่วโมง เพิ่มจาก 100 เป็น 120... ความเร็วเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ อาคาร ผู้คน รถยนต์---กลายเป็นภาพเลือนลาง และก่อนที่เธอจะรู้ตัว พวกเขาก็ไม่ได้อยู่บนพื้นแล้ว

พวกเขากำลังบินอยู่ในอากาศ เขากางปีกสีดำขนาดใหญ่ ปีกของเขากระพืออย่างช้า ๆ ข้างเธอ พวกเขาอยู่เหนือรถ เหนือผู้คนด้านล่าง เธอมองลงไปและเห็นว่าพวกเขาอยู่เหนือถนนหมายเลข 14 จากนั้นไม่กี่วินาทีอยู่ที่ถนนหมายเลข 34 และอีกไม่กี่วินาทีถัดมา พวกเขาอยู่เหนือเซ็นทรัลปาร์ค มันทำให้เธอประหลาดใจอย่างมาก

เขาหันไปดูข้างหลัง เธอมองตามไป เธอมองไม่ค่อยชัดเพราะลมที่พัดแรง แต่เธอสามารถเห็นได้ว่าไม่มีใครหรือสิ่งมีชีวิตใดตามพวกเขามา

เขาบินช้าลง และลดระดับความสูง ตอนนี้พวกเขาบินอยู่เหนือแนวต้นไม้ มันช่วงสวยงาม เธอไม่เคยเห็นเซ็นทรัลปาร์คแบบนี้มาก่อน ยอดไม้ที่อยู่ด้านล่าง ราวกับว่าเธอสามารถเอื้อมมือออกไปและสัมผัสได้ เธอรู้สึกว่ามันไม่เคยสวยงามแบบนี้มาก่อน

เธอประสานมือแน่นขึ้นรอบอกของเขา สัมผัสได้ถึงความอบอุ่น เธอรู้สึกปลอดภัย เหมือนความฝัน ทุกอย่างที่เกิดขึ้นกลับมาสู่ปกติเมื่ออยู่ในอ้อมแขนของเขา เธออยากบินอย่างนี้ไปตลอดกาล เธอหลับตาลง รับรู้ได้ถึงอากาศเย็นที่กระทบกับใบหน้าของเธอ เธอภาวนาว่าคืนนี้จะไม่สิ้นสุดลง

Yosh cheklamasi:
16+
Litresda chiqarilgan sana:
10 oktyabr 2019
Hajm:
112 Sahifa 4 illyustratsiayalar
ISBN:
9781632912640
Mualliflik huquqi egasi:
Lukeman Literary Management Ltd
Формат скачивания:
epub, fb2, fb3, ios.epub, mobi, pdf, txt, zip

Ushbu kitob bilan o'qiladi