Kitobni o'qish: «ความรัก»
มอร์แกน ไรซ์
มอร์แกน ไรซ์ เป็นผู้แต่งหนังสือขายดีอันดับ 1 และเป็นผู้แต่งมหากาพย์แฟนตาซีที่ขายดีที่สุดใน USA Today นิยายชุดวงแหวนของผู้วิเศษ จำนวน 17 เล่ม นิยายชุดขายดีอันดับ 1 บันทึกของแวมไพร์ จำนวน 11 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) นิยายชุดขายดีอันดับ 1 เรื่อง ไตรภาคแห่งหนทางการอยู่รอด เรื่องราวระทึกขวัญหลังวันโลกาวินาศ จำนวน 2 เล่ม (และยังมีเล่มต่อไป) และนิยายชุดเรื่องราวแฟนตาซีใหม่ล่าสุด กษัตริย์และผู้วิเศษ หนังสือของ มอร์แกน มีทั้งรูปแบบเสียงและสิ่งพิมพ์ และได้รับการแปลเป็นภาษาต่าง ๆ มากกว่า 25 ภาษา
มอร์แกน ยินดีรับฟังความคิดเห็นของคุณ โปรดเยี่ยมชมเว็บไซต์ www.morganricebooks.com เพื่อสมัครรับข่าวสารทางอีเมล พร้อมรับหนังสือฟรีและของรางวัลมากมาย สามารถดาวน์โหลดแอปฟรี เพื่อรับข่าวสารล่าสุด หรือเชื่อมต่อกับ Facebook และ Twitter โปรดติดตาม!
คำนิยมสำหรับ มอร์แกน ไรซ์
“หนังสือที่จะมาเป็นคู่แข่ง TWILIGHT และ VAMPIRE DIARIES เป็นเรื่องที่จะทำให้คุณอยากอ่านไปเรื่อย ๆ จนถึงหน้าสุดท้าย! ถ้าคุณชอบเรื่องราวการผจญภัย ความรักและแวมไพร์ หนังสือเล่มนี้เหมาะสำหรับคุณ!”
– Vampirebooksite.com (เรื่อง กลายร่าง)
“ไรซ์ ทำผลงานออกมาได้อย่างยอดเยี่ยม สามารถดึงผู้อ่านเข้าสู่เนื้อเรื่องได้ตั้งแต่ตอนต้น การใช้บทที่มีคุณภาพให้เกิดประโยชน์สูงสุด…พร้อมการเรียบเรียงที่ยอดเยี่ยม ทำให้สามารถอ่านได้อย่างรวดเร็ว”
– Black Lagoon Reviews (เรื่อง กลายร่าง)
“เป็นเรื่องราวที่เหมาะสำหรับนักอ่านรุ่นเยาว์ มอร์แกน ไรซ์ เพิ่มความน่าสนใจได้อย่างดีเยี่ยม…เนื้อเรื่องแปลกใหม่และไม่เหมือนใคร เน้นเรื่องราวต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวของเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง…เรียกได้ว่าเป็นเด็กผู้หญิงที่ไม่ธรรมดา!..อ่านง่าย และดำเนินเรื่องได้อย่างรวดเร็ว…เป็นเรทที่เหมาะกับทุกช่วงอายุ”
– The Romance Reviews (เรื่อง กลายร่าง)
“ดึงดูดความสนใจของฉันตั้งแต่แรก และทำให้ฉันไม่อยากละสายตา…เรื่องนี้เป็นการผจญภัยที่น่าตื่นเต้น ดำเนินเรื่องอย่างรวดเร็ว และมีฉากต่อสู้ตั้งแต่ช่วงแรก ไม่มีช่วงเวลาที่น่าเบื่อเลย”
– Paranormal Romance Guild (เรื่อง กลายร่าง)
“เต็มไปด้วยฉากต่อสู้ ความรัก การผจญภัย และเนื้องเรื่องที่น่าติดตาม ลองอ่านเล่มนี้ดู และคุณจะพบกับความประทับใจ”
– vampirebooksite.com (เรื่อง กลายร่าง)
“เนื้อเรื่องยอดเยี่ยม หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องที่คุณจะสนุกกับการอ่านจนวางไม่ลง ตอนจบแบบค้างคาและน่าตื่นเต้นจะทำให้คุณอยากซื้อเล่มถัดไปทันที เพื่อรู้ว่าเรื่องราวจะเป็นอย่างไรต่อไป”
– The Dallas Examiner (เรื่อง ความรัก)
“มอร์แกน ไรซ์ ได้พิสูจน์ตัวเองอีกครั้งในฐานะนักเขียนผู้มากพรสวรรค์…สิ่งนี้เป็นการดึงดูดผู้อ่านจำนวนมาก รวมถึงนักอ่านรุ่นเยาว์ที่ชื่นชอบนิยายแนวแวมไพร์/แฟนตาซี คุณจะพบกับการจบตอนแบบที่คาดไม่ถึงและตกตะลึง”
– The Romance Reviews (เรื่อง ความรัก)
หนังสือของ มอร์แกน ไรซ์
กษัตริย์และผู้วิเศษ
กำเนิดราชันย์มังกร (เล่ม 1)
กำเนิดความกล้าหาญ (เล่ม 2)
วงแหวนของผู้วิเศษ
เส้นทางแห่งวีรบุรุษ (เล่ม 1)
ขบวนแห่งกษัตริย์ (เล่ม 2)
ชะตากรรมของมังกร (เล่ม 3)
เสียงร้องแห่งเกียรติ (เล่ม 4)
คำปฏิญาณแห่งศักดิ์ศรี (เล่ม 5)
พลังแห่งความเก่งกล้า (เล่ม 6)
อำนาจแห่งดาบ (เล่ม 7)
ประทานพรแห่งสรรพาวุธ (เล่ม 8)
นภาแห่งเวทมนตร์ (เล่ม 9)
ท้องทะเลแห่งโล่ (เล่ม 10)
การครองราชย์แห่งเหล็กกล้า (เล่ม 11)
ดินแดนแห่งเปลวเพลิง (เล่ม 12)
บัญญัติแห่งราชินี (เล่ม 13)
คำสาบานของพี่น้อง (เล่ม 14)
ความฝันแห่งมรณะ (เล่ม 15)
การแข่งขันของอัศวิน (เล่ม 16)
ของขวัญจากการต่อสู้ (เล่ม 17)
ไตรภาคแห่งหนทางการอยู่รอด
สนามที่หนึ่ง ปลดปล่อยความเป็นทาส (เล่ม 1)
สนามที่สอง (เล่ม 2)
บันทึกของแวมไพร์
กลายร่าง (เล่ม 1)
ความรัก (เล่ม 2)
การทรยศ (เล่ม 3)
พรหมลิขิต (เล่ม 4)
ความปรารถนา (เล่ม 5)
การหมั้นหมาย (เล่ม 6)
คำสาบาน (เล่ม 7)
การค้นหา (เล่ม 8)
ฟื้นคืนชีพ (เล่ม 9)
การโหยหา (เล่ม 10)
โชคชะตา (เล่ม 11)
ฟัง นิยายชุด บันทึกของแวมไพร์ ในรูปแบบหนังสือเสียง!
ลิขสิทธิ์ © 2011 โดย มอร์แกน ไรซ์
สงวนลิขสิทธิ์ทั้งหมด ยกเว้นได้รับอนุญาตภายใต้พระราชบัญญัติลิขสิทธิ์ ค.ศ. 1976 ของประเทศสหรัฐอเมริกา ห้ามนำส่วนใดของการตีพิมพ์นี้ไปทำซ้ำ แจกจ่ายและเผยแพร่ในรูปแบบใด ๆ หรือโดยการกระทำใด ๆ หรือจัดเก็บในฐานข้อมูล หรือระบบสืบค้น โดยไม่ได้รับการอนุญาตจากผู้แต่ง
หนังสืออีบุคนี้ อนุญาตเพื่อความบันเทิงส่วนตัวของคุณเท่านั้น และอีบุคเล่มนี้ไม่อนุญาตให้นำไปจำหน่ายต่อหรือยกให้กับบุคคลอื่น ถ้าคุณต้องการแบ่งปันหนังสือเล่มนี้กับบุคคลอื่น โปรดสั่งซื้อหนังสือเพิ่มเติมสำหรับแต่ละคน ถ้าคุณกำลังอ่านหนังสือเล่มนี้และไม่ได้ซื้อ หรือไม่ได้ซื้อในนามของคุณ โปรดส่งคืนและดำเนินการสั่งซื้อในนามของคุณเอง ขอบคุณที่ให้ความเคารพกับผลงานที่ผู้แต่งได้ทุ่มเท
หนังสือเล่มนี้เป็นเรื่องแต่ง ชื่อ ตัวละคร ธุรกิจ องค์กร สถานที่ เหตุการณ์ และสถานการณ์ต่าง ๆ ล้วนเกิดจากจินตนาการของผู้แต่ง หรือได้รับการแต่งขึ้นมา ความคล้ายคลึงใด ๆ ที่เกี่ยวข้องกับบุคคลจริง ทั้งที่มีชีวิตอยู่หรือเสียชีวิตไปแล้ว เป็นเหตุบังเอิญทั้งสิ้น
ความจริง
ในซาเล็มเมื่อปี 1692 เด็กผู้หญิงวัยรุ่นนับสิบรายรู้จักกันในฐานะ “ผู้ติดเชื้อ” ที่ประสบกับอาการป่วยลึกลับ นำไปสู่การเป็นโรคประสาทและกรีดร้องออกมาว่าแม่มดในพื้นที่ทรมานพวกเขา เรื่องนี้นำไปสู่การสอบสวนหาความจริงเกี่ยวกับแม่มดของซาเล็ม
อาการป่วยลึกลับที่เกิดกับเด็กผู้หญิงวัยรุ่นเหล่านี้ไม่เคยได้รับการอธิบายจนถึงปัจจุบัน
“ค่ำคืนนี้เธอฝันเห็นรูปปั้นของฉัน
ที่ดูคล้ายกับมีน้ำพุนับร้อยพุ่งออกมา
เลือดบริสุทธิ์กำลังไหลริน ชาวโรมันผู้มีพลังมากมาย
ต่างมาด้วยรอยยิ้ม และล้างมือของพวกเขา
ความฝันนี้เป็นดั่งคำเตือน ลางบอกเหตุ
และความชั่วร้ายที่กำลังคืบคลานเข้ามา…”
– วิลเลียม เชกสเปียร์ จูเลียส ซีซาร์
บทที่หนึ่ง
ตรอกฮัดสัน นิวยอร์ก
(ปัจจุบัน)
นับเป็นครั้งแรกในรอบสัปดาห์ที่ เคทลิน เพน รู้สึกผ่อนคลาย เธอกำลังนั่งอยู่บนพื้นของโรงนาขนาดเล็ก เอนหลังพิงกับกองฟางและปล่อยลมหายใจออกมา กองไฟเล็ก ๆ ในเตาผิงที่ทำจากหินอยู่ห่างออกไปประมาณสิบฟุต เธอเติมฟืนใส่เข้าไป เสียงของไม้กำลังมอดไหม้ เดือนมีนาคมที่ยาวนานยังไม่ผ่านพ้นไป และค่ำคืนนี้ช่างหนาวเป็นพิเศษ หน้าต่างบนกำแพงอีกฝั่งสามารถมองเห็นทิวทัศน์ของท้องฟ้ายามราตรี หิมะด้านนอกยังคงตกลงมา
ภายในโรงนาไม่ได้อบอุ่น แต่เธอนั่งอยู่ใกล้กับกองไฟมากพอที่จะทำให้ความหนาวหมดไป เธอรู้สึกสุขใจเป็นอย่างยิ่ง เปลือกตาของเธอหนักขึ้นเรื่อย ๆ กลิ่นของเปลวไฟอบอวลไปทั่วโรงนา การเอนกายพักผ่อนทำให้อาการตึงบริเวณไหล่และขาของเธอเริ่มที่จะบรรเทาลง
แน่นอนว่าเหตุผลที่แท้จริงของความสงบสุขตอนนี้ไม่ได้เป็นเพราะไฟ หรือกองฟาง หรือแม้แต่ที่พักในโรงนา แต่เป็นเพราะเขา คาเลป เธอนั่งมองและจับจ้องสายตาไปที่เขา
เขานอนอยู่ตรงข้ามกับเธอ ห่างออกไปประมาณสิบห้าฟุต ทิ้งระยะห่างอย่างเหมาะสม เขากำลังหลับ เธอใช้โอกาสนี้ในการมองพิจารณาเขาอย่างละเอียด ใบหน้าของเขา ร่างกายที่สมบูรณ์แบบ ผิวพรรณที่ซีดและสว่างใส เธอไม่เคยเห็นรูปลักษณ์ที่ดูงดงามเช่นนี้มาก่อน มันช่างเป็นภาพที่เหนือความจริง ราวกับการมองดูประติมากรรมชิ้นเอก เธอไม่สามารถหยั่งรู้ได้ว่าเขามีชีวิตอยู่มาได้อย่างไรตั้ง 3,000 ปี ในขณะที่เธออายุ 18 ปี กลับดูเหมือนอายุมากกว่าเขาเสียอีก
แต่มันเป็นสิ่งที่มากกว่าลักษณะภายนอก บรรยากาศรอบตัวของคาเลป พลังงานลึกลับที่แผ่ออกมา เธอสัมผัสได้ถึงความรู้สึกอบอุ่นใจ เมื่อได้อยู่ใกล้กับเขา เธอรู้ว่าทุกอย่างจะต้องผ่านพ้นไปด้วยดี
เธอมีความสุขที่เขายังคงอยู่ที่นี่ และหวังว่าเธอกับเขาจะได้อยู่ด้วยกัน แต่ยิ่งเธอคิดถึงเรื่องนี้มากเท่าไร เธอก็ยิ่งตำหนิตัวเอง เธอรู้ว่าเธอกำลังสร้างปัญหา ผู้ชายอย่างเขาไม่ใช่คนที่จะมายึดติดกับสิ่งใด ไม่เกี่ยวกับว่าเขาถูกสร้างมาอย่างไร
คาเลปนอนหลับสนิท หายใจเข้าออกอย่างช้า ๆ นั่นทำให้เธอบอกได้ยากว่าเขาเคยง่วงนอนบ้างไหม เขาเพิ่งออกไปเมื่อไม่นานมานี้ เขาบอกว่าจะไปดื่ม เมื่อกลับจากข้างนอกเขาดูผ่อนคลายมากขึ้น เขาแบกไม้ฟืนมาจำนวนหนึ่งสำหรับปิดประตูโรงนาเพื่อป้องกันลมหิมะ และเริ่มก่อกองไฟ ในขณะที่เขากำลังหลับอยู่ เคทลินนั่งคิดไปเรื่อย ๆ
เธอเอื้อมมือออกไปและจิบไวน์แดงอีกครั้ง ของเหลวอันอบอุ่นช่วยทำให้ร่างกายของเธอผ่อนคลาย เธอพบขวดไวน์ในหีบที่ซ่อนอยู่ใต้กองฟาง เธอจำได้ว่า แซม น้องชายคนเล็กของเธอได้ซ่อนเอาไว้เมื่อเดือนที่ผ่านมา เธอไม่เคยดื่มมาก่อน แต่เธอคิดว่าการจิบเพียงไม่กี่คำคงไม่เสียหาย โดยเฉพาะหลังจากที่เธอได้ผ่านพ้นเรื่องราวต่าง ๆ
เคทลินวางสมุดบันทึกลงบนตัก หน้ากระดาษเปิดอยู่ มือข้างหนึ่งถือปากกาและอีกข้างถือแก้วไวน์ เธอถือค้างอย่างนี้มานาน 20 นาทีแล้ว เธอไม่รู้ว่าต้องเริ่มต้นจากตรงไหน เธอไม่เคยมีปัญหากับการเขียนมาก่อน แต่ครั้งนี้มันแตกต่างออกไป เหตุการณ์ในหลาย ๆ วันที่ผ่านมาเกิดขึ้นอย่างรวดเร็ว ยากที่จะอธิบาย นี่เป็นครั้งแรกที่เธอได้นั่งลงอย่างผ่อนคลาย และเป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกปลอดภัย
เธอตัดสินใจว่าการเริ่มตั้งแต่ต้นคงจะดีที่สุด สิ่งต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น ทำไมเธอจึงอยู่ที่นั่น เธอเคยเป็นใครมาก่อน เธอต้องการอธิบายออกมา เธอไม่มั่นใจว่าเธอจะรู้คำตอบด้วยตัวของเธอเองอีกต่อไป
*
ชีวิตดำเนินไปตามปกติจนกระทั่งสัปดาห์ที่แล้ว ฉันเริ่มชอบโอ๊กวิลล์ วันหนึ่งแม่เดินเข้ามาและบอกว่าเรากำลังจะย้ายบ้าน ชีวิตที่ต้องเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือกลับมาอีกครั้ง มันเป็นสิ่งที่เกิดขึ้นมาโดยตลอด
ครั้งนี้แย่ยิ่งกว่า ไม่ใช่ชานเมือง แต่เป็นนิวยอร์ก โรงเรียนรัฐบาลกลางเมือง ชีวิตในป่าคอนกรีต และละแวกบ้านที่อันตราย
แซมหัวเสียเช่นกัน เราพูดคุยว่าเราจะไม่ไป คิดเกี่ยวกับการหนี แต่ความจริงคือเราไม่มีที่ไหนให้ไปอีกแล้ว
เราจึงจำเป็นต้องไป เราทั้งคู่แอบสัญญากันว่าถ้าเราไม่ชอบ เราจะหนีไป และค้นหาสถานที่สักแห่ง ที่ไหนก็ได้ บางทีอาจจะพยายามออกตามหาพ่ออีกครั้ง แม้เราทั้งคู่จะรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ก็ตาม
หลังจากนั้นทุกอย่างก็เกิดขึ้น มันเกิดขึ้นเร็วมาก ร่างกายของฉัน การกลายร่าง การเปลี่ยนแปลง ฉันยังคงไม่เข้าใจถึงสิ่งที่เกิดขึ้น หรือฉันได้กลายเป็นใคร รู้เพียงแค่ว่าฉันไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว
ฉันจดจำค่ำคืนแห่งโชคชะตานั้นได้ เมื่อทุกอย่างเกิดขึ้น ณ หอประชุมคาร์เนกี้ การเดทของฉันกับโจนาห์ และหลังจากนั้น…ช่วงหยุดพัก การหาอาหาร…ของฉัน? การฆ่าใครสักคน? ฉันไม่สามารถจำเรื่องราวทั้งหมดได้ ฉันรู้แต่สิ่งที่พวกเขาบอก ฉันรู้ว่าคืนนั้นฉันได้ทำอะไรบางอย่าง แต่ทุกอย่างเป็นภาพที่ไม่ชัดเจน ไม่ว่าฉันได้ทำอะไรลงไป มันยังคงเหมือนหลุมลึกที่อยู่ในท้องของฉัน ฉันไม่เคยต้องการทำร้ายใครเลย
วันถัดมา ฉันรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของร่างกาย ฉันแข็งแกร่งขึ้น รวดเร็วขึ้น ไวต่อแสงมากขึ้น และฉันสามารถได้กลิ่นสิ่งต่าง ๆ สัตว์ที่อยู่รอบตัวของฉันมีท่าทีประหลาด และฉันรู้สึกว่าตัวฉันเองก็มีท่าทีแปลก ๆ กับพวกมันเหมือนกัน
หลังจากนั้นแม่บอกว่าเธอไม่ใช่แม่ที่แท้จริงของฉัน ต่อมาแม่ถูกฆ่าโดยพวกแวมไพร์เหล่านั้น พวกเดียวกับที่ไล่ตามฉันมา ฉันไม่เคยต้องการเห็นเธอเจ็บปวดเช่นนั้น ฉันยังคงรู้สึกว่ามันเป็นความผิดของฉัน แต่ฉันไม่สามารถปล่อยให้ตัวเองไปที่นั่นได้ ฉันต้องมุ่งไปยังสิ่งที่อยู่ข้างหน้า สิ่งที่ฉันสามารถควบคุมได้
ฉันถูกแวมไพร์ร้ายพวกนั้นจับตัว และการหลบหนีของฉัน คาเลปมาช่วยฉันไว้ หากไม่มีเขา ฉันมั่นใจได้ว่าพวกมันจะต้องฆ่าฉัน หรือแย่มากกว่านั้น
กลุ่มของคาเลป และผู้คนของเขาแตกต่างออกไป แต่แวมไพร์ก็เหมือนกันหมด เขตแดน ความอิจฉา ความไม่ไว้วางใจ พวกเขาขับไล่ฉันออกมา และพวกเขาทำให้คาเลปไม่มีทางเลือก
แต่คาเลปเลือกฉัน เขายอมละทิ้งทุกอย่าง เขาช่วยฉันไว้อีกครั้ง เขาเสี่ยงอันตรายมาเพื่อฉัน ฉันมีความสุขกับเรื่องนั้นมากกว่าที่เขารู้
ฉันช่วยเหลือเขาเป็นการตอบแทน เขาคิดว่าฉันคือผู้ถูกเลือก สิ่งที่เกี่ยวข้องกับพระเมสสิยาห์ของแวมไพร์หรืออะไรบางอย่าง เขาเชื่อว่าฉันจะสามารถพาเขาไปพบกับดาบที่หายสาบสูญ เพื่อหยุดยั้งสงครามแวมไพร์และช่วยชีวิตทุกคน โดยส่วนตัวฉันไม่เชื่อเรื่องนั้น ผู้คนของเขาก็ไม่เชื่อ แต่ฉันรู้ว่านั่นคือทั้งหมดที่เขามี และมันหมายถึงทุกอย่างสำหรับเขา เขายอมเสี่ยงทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อฉัน และมันเป็นสิ่งที่ฉันสามารถทำได้ สำหรับฉันมันไม่ได้เกี่ยวกับดาบเลย ฉันแค่ไม่ต้องการมองเห็นเขาจากไป
ดังนั้นฉันจะทำอะไรก็ตามที่ฉันสามารถทำได้ ฉันต้องการค้นหาพ่อของฉัน และต้องการรู้ว่าเขาคือใคร ฉันเป็นใครกันแน่ ไม่ว่าฉันจะเป็นครึ่งแวมไพร์ หรือครึ่งมนุษย์ หรืออะไรก็ตาม ฉันต้องการคำตอบ อย่างน้อย ฉันต้องการรู้ว่าฉันกำลังจะกลายเป็นอะไร…
*
“เคทลิน?”
เธอสะดุ้งตื่นด้วยความงุนงง มองขึ้นไปเห็นคาเลปยืนอยู่เหนือเธอ เขาวางมือบนไหล่ของเธออย่างอ่อนโยน และส่งยิ้มให้เธอ
“ข้าคิดว่าเจ้าเผลอหลับไป” เขาพูด
เธอมองไปรอบ ๆ สมุดบันทึกของเธอเปิดอยู่บนตักและเธอรีบปิดลงทันที แก้มของเธอแดงก่ำ หวังว่าเขาคงไม่เห็น โดยเฉพาะส่วนที่เขียนเกี่ยวกับความรู้สึกของเธอที่มีต่อเขา
เธอลุกขึ้นนั่งและขยี้ตา ขณะนี้ยังคงเป็นเวลากลางคืน และกองไฟยังคงลุกไหม้อยู่ แม้ว่าจะเริ่มกลายเป็นเถ้าถ่านแล้ว เขาน่าจะเพิ่งตื่นอย่างแน่นอน เธอสงสัยว่าเธอเผลอหลับไปนานแค่ไหน
“ขอโทษ” เธอพูด “ฉันเพิ่งได้หลับเป็นครั้งแรกในช่วงหลายวันมานี้”
เขายิ้มอีกครั้ง และตรงเดินไปยังกองไฟ โยนไม้ฟืนเข้าไปอีกหลายท่อน เสียงปะทุดังออกมา แสงไฟในโรงนาสว่างขึ้น เธอสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่เท้าของเธอ
คาเลปยืนนิ่ง เขาจ้องมองลงไปยังกองไฟ รอยยิ้มของเขาค่อย ๆ เลือนหายไปในขณะที่เขาจมลงสู่ความคิด ใบหน้าของเขาส่องสว่างจากประกายแสงอันอบอุ่น ทำให้เขาดูน่าหลงใหลมากยิ่งขึ้น ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนกลมโตของเขาเบิกกว้าง และดวงตาคู่นั้นได้เปลี่ยนเป็นสีเขียวอ่อน
เคทลินลุกขึ้นนั่งตัวตรง ไวน์แดงของเธอยังคงเหลือเกือบเต็มแก้ว เธอหยิบมาจิบ รสชาติของไวน์ทำให้เธออบอุ่น เธอไม่ได้กินอะไรมาสักพักแล้ว และเธอนึกขึ้นได้เมื่อมองเห็นแก้วพลาสติกที่วางอยู่ เธอควรจะมีมารยาท
“ฉันรินให้คุณเอาไหม?” เธอถาม และพูดต่ออย่างเป็นกังวล “เอ่อ ฉันหมายถึง ฉันไม่รู้ว่าคุณดื่มหรือเปล่า…”
เขาหัวเราะออกมา
“ดื่มสิ แวมไพร์ก็ดื่มไวน์เช่นกัน” เขาพูดพร้อมกับรอยยิ้ม เดินเข้ามาและถือแก้วเอาไว้ในขณะที่เธอรินให้
เธอรู้สึกประหลาดใจ ไม่ใช่เพราะคำพูดของเขา แต่เป็นเสียงหัวเราะของเขาที่ช่างดูอ่อนโยน งดงาม และค่อย ๆ จางหายไปภายในห้องอย่างนุ่มนวล ราวกับทุกสิ่งทุกอย่างที่เกี่ยวกับเขาคือเรื่องลึกลับ
ในขณะที่เขายกแก้วไวน์ขึ้นสัมผัสกับริมฝีปาก เธอมองเข้าไปในดวงตาของเขา หวังว่าเขาจะมองกลับมา
เขามองมาที่เธอ
จากนั้นทั้งคู่ต่างหลบสายตาพร้อมกัน เธอรู้สึกได้ถึงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นรัว
คาเลปเดินกลับไปยังที่ของเขา นั่งลงบนกองฟาง เอนหลังพิง และมองมาที่เธอ ตอนนี้ดูเหมือนเขากำลังพิจารณาเธอ เธอเริ่มรู้สึกประหม่า
เธอใช้มือจับไปตามเสื้อผ้าของเธอโดยไม่รู้ตัว และหวังว่าเธอน่าจะใส่อะไรที่ดูสวยกว่านี้ เธอพยายามนึกถึงสิ่งเธอสวมใส่ ในที่แห่งหนึ่งของการเดินทาง เธอจำไม่ได้ว่าที่ไหน เธอและคาเลปได้หยุดในเมืองชั่วครู่ เธอเข้าไปในร้านเสื้อผ้าทหารเพียงแห่งเดียวที่มีอยู่ เพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า
เธอมองดูตัวเองอย่างตกตะลึง และจดจำไม่ได้แม้แต่ตัวของเธอเอง เธอกำลังใส่กางเกงยีนส์สีซีดขาดรุ่งริ่ง รองเท้าผ้าใบหลวม ๆ สวมเสื้อกันหนาวทับเสื้อยืด คลุมด้วยเสื้อโค้ทสีม่วงซีดที่กระดุมหายไปหนึ่งเม็ด ซึ่งมีขนาดใหญ่เกินไปสำหรับเธอ แต่มันอบอุ่น และตอนนี้มันคือสิ่งที่เธอต้องการ
เคทลินรู้สึกไม่มั่นใจ ทำไมเขาต้องเห็นเธอในสภาพแบบนี้ โชคชะตาได้ทำให้เธอพบกับผู้ชายที่ชอบจริง ๆ เป็นครั้งแรก เธอไม่มีแม้แต่โอกาสที่จะทำให้ตัวเองดูดี โรงนาแห่งนี้ไม่มีห้องน้ำ และถึงแม้จะมี เธอก็ไม่มีเครื่องสำอาง เธอหลบสายตาอีกครั้งอย่างเขินอาย
“ฉันหลับไปนานมั้ย?” เธอถาม
“ข้าไม่แน่ใจนัก ข้าเพิ่งตื่น” เขาพูด พลางเอนไปข้างหลังและใช้มือเสยผม “ข้าเพิ่งอิ่มท้องเมื่อตอนค่ำ มันทำให้ข้าง่วง”
เธอมองไปที่เขา
“บอกฉันหน่อย” เธอพูด
เขาหันมองมาที่เธอ
“การดื่ม” เธอพูดต่อ “มันเป็นยังไง? คุณออกไป…ฆ่าคนเหรอ?”
“ไม่ใช่แบบนั้น ข้าไม่เคยทำ” เขาพูด
ภายในห้องเงียบลง ในขณะที่เขากำลังรวบรวมความคิด
“เช่นเดียวกับทุกอย่างในเผ่าพันธุ์แวมไพร์ มันเป็นความซับซ้อน” เขาพูด “ขึ้นอยู่กับว่าเจ้าเป็นแวมไพร์ประเภทไหน และเจ้าอยู่กลุ่มใด ในกรณีของข้า ข้าดื่มเลือดจากสัตว์เท่านั้น ส่วนใหญ่จะเป็นกวาง กวางมีจำนวนเยอะมากเกินไปและมนุษย์ก็ล่าพวกมันเช่นกัน”
สีหน้าของเขาเริ่มขุ่นมัว
“แต่กลุ่มอื่นไม่ได้มีความเมตตาเช่นนั้น พวกเขาหากินกับมนุษย์ โดยทั่วไปกับพวกที่ไม่พึงประสงค์”
“ไม่พึงประสงค์เหรอ?”
“พวกเร่ร่อน หลงถิ่น โสเภณี…คนเหล่านั้นไม่เป็นที่สังเกต นั่นคือวิธีที่มักจะทำกัน พวกเขาไม่ต้องการสร้างความสนใจมายังเผ่าพันธุ์”
“นี่คือสาเหตุที่กลุ่มของข้า เผ่าพันธุ์แวมไพร์ของข้า ถูกมองว่าเป็นเลือดบริสุทธิ์ และแวมไพร์ประเภทอื่น ๆ ได้รับการพิจารณาว่าเป็นพวกไม่บริสุทธิ์ สิ่งที่เจ้าดื่ม…มันคือพลังงานที่ซึมซาบเข้าสู่ร่างกายของเจ้า”
เคทลินนั่งเงียบ กำลังครุ่นคิด
“แล้วฉันล่ะ?” เธอถาม
เขามองมาที่เธอ
“ทำไมบางครั้งข้าต้องหาดื่ม แต่บางครั้งก็ไม่ต้อง?”
คาเลปขมวดคิ้ว
“ข้าไม่แน่ใจ เจ้าแตกต่างออกไป เจ้าเป็นพันธุ์ผสม มันเป็นสิ่งที่หายาก…ข้ารู้ว่าเจ้าจะเปลี่ยนเมื่ออายุถึงเกณฑ์ แต่แวมไพร์อื่น ๆ จะเปลี่ยนในชั่วข้ามคืน สำหรับเจ้ามันมีขั้นตอน เจ้าอาจต้องใช้เวลาในการรับมือ เพื่อผ่านพ้นการเปลี่ยนแปลงนี้”
เคทลินคิดย้อนกลับไป และจำได้ถึงความหิวโหยที่ทรมาน มันครอบงำเธอได้อย่างไร มันทำให้เธอไม่สามารถคิดอะไรออกนอกจากการหาอาหาร มันเป็นสิ่งที่แย่มาก เธอกลัวว่ามันจะเกิดขึ้นอีกครั้ง
“แล้วฉันจะรู้ได้อย่างไรว่ามันจะเกิดขึ้นอีกตอนไหน?”
เขามองมาที่เธอ “เจ้าไม่มีทางรู้”
“แต่ฉันไม่อยากฆ่ามนุษย์” เธอพูด “ไม่คิดที่จะทำ”
“เจ้าไม่จำเป็นต้องทำ เจ้าสามารถหากินกับสัตว์ได้”
“แต่ถ้ามันเกิดขึ้นเมื่อฉันติดอยู่ที่ไหนสักแห่งจะทำยังไง?”
“เจ้าจะต้องเรียนรู้วิธีการควบคุม เจ้าต้องฝึกฝน และใช้จิตใจที่เข้มแข็ง มันไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ เจ้าสามารถควบคุมได้ มันคือสิ่งที่แวมไพร์ทุกตนต้องผ่านพ้นไป”
เคทลินกำลังคิดว่าการจับและกินสัตว์ที่มีชีวิตจะเป็นอย่างไร เธอรู้ว่าความเร็วของเธอเพิ่มขึ้นมากกว่าเดิม แต่เธอไม่รู้ว่าเธอเร็วขนาดไหน และเธอไม่รู้ว่าการจับกวางจริง ๆ ต้องทำอย่างไร
เธอมองไปที่คาเลป
“คุณจะสอนฉันไหม?” เธอถามด้วยความหวัง
เขาสบตากับเธอ เธอสามารถรับรู้ได้ถึงเสียงหัวใจของเธอที่กำลังเต้นอยู่
“การออกหาอาหารคือสิ่งที่ศักดิ์สิทธิ์ในเผ่าพันธุ์ของเรา มักจะเป็นเรื่องที่ต้องทำเพียงลำพัง” เขาพูดอย่างนุ่มนวลและในเชิงขอโทษ “เว้นแต่…” เขาลากเสียง
“เว้นแต่อะไร?” เธอถาม
“ในพิธีแต่งงาน เพื่อผูกสัมพันธ์คู่สามีและภรรยา”
เขาหลบสายตา เธอสามารถมองเห็นการเปลี่ยนท่าทีของเขา เธอรู้สึกได้ถึงเลือดที่สูบฉีดมาที่แก้ม และทันใดนั้นภายในห้องก็อบอุ่นขึ้นมา
เธอตัดสินใจที่จะไม่นึกถึงมัน ตอนนี้เธอไม่มีต้องเจ็บปวดจากความหิวโหยแล้ว และเธอจะผ่านพ้นไปให้ได้เมื่อมันมาถึง เธอหวังว่าในตอนนั้นเขาจะอยู่เคียงข้างเธอ
นอกจากนี้ ลึก ๆ แล้วเธอไม่ได้สนใจมากนักเกี่ยวกับการหาอาหาร หรือเรื่องแวมไพร์ หรือดาบ หรืออะไรทั้งสิ้น สิ่งที่เธอต้องการรู้คือเรื่องของคาเลป แท้จริงแล้วเขารู้สึกอย่างไรกับเธอ ในใจของเธอมีคำถามมากมายที่ต้องการถามออกไป ทำไมคุณต้องเสี่ยงทุกอย่างเพื่อฉัน? เพียงเพื่อค้นหาดาบเหรอ? หรือมีเหตุผลอื่นไหม? เมื่อคุณพบดาบแล้ว คุณจะยังคงอยู่กับฉันอีกไหม? แม้ว่าความรักกับมนุษย์เป็นเรื่องต้องห้าม คุณจะข้ามเส้นกั้นนั้นเพื่อฉันหรือไม่?
แต่เธอกลับรู้สึกกลัว
เธอจึงพูดออกไปง่าย ๆ แทนว่า “ฉันหวังว่าเราจะพบดาบของคุณ”
สิ้นคิดที่สุด เธอคิดในใจ นั่นคือคำพูดที่ดีที่สุดแล้วเหรอเนี่ย? เธอไม่เคยกล้าที่จะพูดในสิ่งที่คิดเลยใช่ไหม?
แต่พลังงานของเขาช่างรุนแรง เมื่อไรก็ตามที่เธออยู่ใกล้เขา การคิดอะไรให้ออกสักอย่างเป็นสิ่งที่ยากเย็นเหลือเกิน
“ข้าก็หวังเช่นนั้น” เขาตอบกลับมา “ดาบนั่นไม่ใช่อาวุธธรรมดา มันถูกเสาะหาโดยเผ่าพันธุ์ของเรามานานนับศตวรรษ เล่ากันว่าเป็นดาบชาวเติร์กที่ยอดเยี่ยมที่สุดเท่าที่เคยสร้างมา ทำจากเหล็กกล้าที่สามารถสังหารแวมไพร์ได้ทุกตน หากเรามีดาบนี้ เราก็จะไร้เทียมทาน แต่ถ้าเราไม่มี…”
เขาหยุดพูด เห็นได้ชัดว่าเขากลัวที่จะเอ่ยออกมา
เคทลินหวังว่าแซมจะอยู่ที่นี่ หวังว่าเขาจะช่วยพาเธอไปหาพ่อ เธอมองดูรอบ ๆ โรงนาอีกครั้ง ไม่มีวี่แววของเขาเลย เธอไม่น่าทำโทรศัพท์มือถือหาย ถ้ามีโทรศัพท์ ชีวิตของเธอคงจะง่ายกว่านี้
“แซมมักจะมากบดานที่นี่” เธอพูด “ฉันแน่ใจว่าเขาจะอยู่ที่นี่ ฉันรู้เขากลับมาเมืองนี้…ฉันมั่นใจ เขาจะไม่ไปที่อื่น พรุ่งนี้เราจะไปที่โรงเรียน และจะถามจากเพื่อนของฉัน ฉันต้องการคำตอบ”
คาเลปพยักหน้า “เจ้าเชื่อว่าเขาจะรู้ว่าพ่อของเจ้าอยู่ที่ไหนหรือ?” เขาถาม
“ฉัน…ไม่รู้” เธอตอบ “แต่ฉันรู้ว่าเขารู้เรื่องราวของพ่อมากกว่าฉัน เขาพยายามค้นหามาตลอด ถ้าจะมีใครรู้อะไรสักอย่างก็ต้องเป็นเขา”
เคทลินนึกถึงช่วงเวลาทั้งหมดที่เคยอยู่กับแซม การค้นหาของเขา เขามักบอกเธอเมื่อพบเบาะแสใหม่ ๆ และมักจะผิดหวังเสมอ คืนนั้นเขาไปที่ห้องของเธอและนั่งลงบนขอบเตียง ความปรารถนาที่ต้องการพบพ่อเป็นสิ่งที่อยู่ภายในตัวของเขา เธอเองก็อยากพบพ่อแต่ไม่มากเท่าเขา บางครั้งความผิดหวังของเขานั้นยากที่จะทำใจให้มองดู
เคทลินนึกย้อนถึงชีวิตวัยเด็กที่ยุ่งเหยิง สิ่งที่พวกเขาพลาดไปทั้งหมด ทันใดนั้นเธอได้ตกสู่ห้วงของอารมณ์ ดวงตาของเธอเอ่อล้นไปด้วยน้ำตา เคทลินรู้สึกเขินอาย เธอจึงใช้มือปาดออกไปอย่างรวดเร็ว และหวังว่าคาเลปจะไม่เห็น
แต่เขาเห็น เขาจ้องมาที่เธออย่างจริงจัง
คาเลปลุกขึ้นมาอย่างช้า ๆ และนั่งลงข้างเธอ เขาเข้ามาใกล้มากจนเธอสามารถรับรู้ได้ถึงพลังงานที่รุนแรงของเขา หัวใจของเธอเริ่มเต้นไม่เป็นจังหวะ
เขาค่อย ๆ ใช้นิ้วปัดเส้นผมของเธอออกจากใบหน้าอย่างนุ่มนวล ลากไปทางหางตา และลงไปที่แก้มของเธอ
เธอก้มหน้าลง จ้องมองไปที่พื้น ไม่กล้าสบตากับเขา เธอรู้เขากำลังมองเธออยู่
“ไม่ต้องกังวล” เขาพูด น้ำเสียงที่อ่อนนุ่มของเขาทำให้เธอสงบลง “เราจะหาพ่อของเจ้า เราจะช่วยกัน”
แต่นั่นไม่ใช่สิ่งที่เธอกังวล เธอกำลังกังวลเกี่ยวกับคาเลป กังวลว่าเขาจะจากเธอไป
ถ้าเธอเผชิญหน้ากับเขาตอนนี้ เธอสงสัยว่าเขาจะจูบเธอหรือเปล่า เธอจินตนาการถึงช่วงเวลาสำคัญที่จะได้สัมผัสริมฝีปากของเขา
แต่เธอไม่กล้าหันมา
เวลายาวนานเหมือนเป็นชั่วโมงผ่านพ้นไป ในที่สุดเธอก็รวบรวมความกล้าที่จะหันไป
แต่คาเลปเอนตัวลงนอนบนกองฟางเรียบร้อยแล้ว เขาหลับตาลง รอยยิ้มอันอ่อนโยนปรากฏบนอยู่ใบหน้าของเขา ส่องสว่างด้วยแสงจากกองไฟ
เธอขยับเข้าไปใกล้และโน้มตัวลงไป วางหัวของเธอห่างจากไหล่ของเขาไม่กี่นิ้ว ทั้งคู่เกือบจะแนบชิดกัน
และนั่นเพียงพอแล้วสำหรับเธอ
บทที่สอง
เคทลินเลื่อนประตูโรงนาออก มองออกไปยังโลกที่ปกคลุมด้วยหิมะ แสงแดดสีขาวสะท้อนกับทุกสิ่งที่อยู่ภายนอก เธอยกมือขึ้นป้องตา ความเจ็บปวดที่เธอไม่เคยประสบมาก่อน ดวงตาของเธอเจ็บแสบอย่างรุนแรง
คาเลปก้าวเข้ามายืนข้างเธอ เขากำลังพันแขนและคอของเขาด้วยวัตถุบางโปร่งใสที่ดูเหมือนฟิล์มห่ออาหาร วัตถุนั้นแทบจะกลมกลืนไปกับผิวหนังของเขา และไม่สามารถมองเห็นได้
“นั่นคืออะไร?”
“ที่คลุมผิว” เขาพูด ขณะที่กำลังพันแผ่นฟิล์มรอบแขนและหัวไหล่ของเขาอย่างระมัดระวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า “มันทำให้เราสามารถออกไปเจอแสงแดดได้ ไม่เช่นนั้นผิวหนังของเราจะไหม้” เขามองมาที่เธอ “เจ้าไม่จำเป็นต้องใช้…ในตอนนี้”
“คุณรู้ได้อย่างไร?” เธอถาม
“เชื่อข้า” เขาพูดพร้อมยิ้ม “เดี๋ยวเจ้าก็รู้”
เขาเอื้อมไปในกระเป๋าเสื้อและหยิบยาหยอดตาออกมา เขาเงยหน้าขึ้นและบีบสองสามหยดใส่ดวงตาแต่ละข้าง เขาหันมามองที่เธอ
เขาคงเห็นว่าเธอเจ็บตา เพราะเขาค่อย ๆ วางมือลงบนหน้าผากของเธอ “เงยหน้าขึ้น” เขาพูด
เธอเงยหน้าขึ้นไป
“ลืมตา” เขาพูด
เมื่อเธอทำอย่างนั้น เขาเอื้อมมือมาและบีบยาหยอดตาหนึ่งหยดใส่ตาแต่ละข้าง
มันแสบมาก เธอปิดตาและก้มหน้าลง
“โอ้ย” เธอพูด พร้อมขยี้ตา “ถ้าคุณโกรธก็บอกกันดี ๆ สิ”
เขายิ้ม “ขอโทษ ตอนแรกจะรู้สึกแสบ แต่เดี๋ยวเจ้าก็จะชิน ความไวต่อแสงของเจ้าจะหายไปภายในไม่กี่วินาที”
เธอกระพริบตาถี่ ๆ และกลอกตาไปมา ในที่สุดดวงตาของเธอก็รู้สึกดีขึ้น เขาพูดถูก ความเจ็บปวดทั้งหมดหายไปแล้ว
“ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่เดินทางระหว่างวันถ้าไม่จำเป็น พวกเราอ่อนแอมากในช่วงกลางวัน แต่บางครั้ง เราก็ต้องทำ”
เขามองมาที่เธอ
“โรงเรียนของแซม” เขาพูด “ไกลมากไหม?”
“อยู่ใกล้ ๆ เดินไปไม่ไกล” เธอพูด พร้อมคว้าแขนของเขา และเดินนำทางข้ามทุ่งที่เต็มไปด้วยหิมะ “โรงเรียนมัธยมโอ๊กวิลล์คือโรงเรียนของฉันเหมือนกัน จนถึงเมื่อไม่กี่สัปดาห์ก่อน หนึ่งในเพื่อนของฉันต้องรู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน”
*
โรงเรียนมัธยมโอ๊กวิลล์ยังคงเหมือนเดิม การได้กลับมาเหมือนเป็นความฝัน เธอรู้สึกราวกับว่าเธอเพียงแค่หยุดพักไป และตอนนี้ได้กลับมาสู่ชีวิตที่ปกติ เธอปล่อยให้ตัวของเธอเองเชื่ออย่างนั้นเพียงไม่กี่วินาทีว่าเหตุการณ์ในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาเป็นเพียงแค่ฝันร้าย เธอเพ้อฝันว่าทุกอย่างจะต้องกลับมาเป็นปกติอีกครั้ง เรื่องราวดี ๆ อย่างที่มันเคยเป็น
แต่เมื่อเธอมองเห็นคาเลปยืนอยู่ข้าง ๆ เธอรู้ว่าไม่มีสิ่งใดที่เป็นเรื่องปกติ ถ้าจะมีอะไรที่ดูเกินจริงมากกว่าการกลับมาที่นี่ มันคงเป็นการกลับมาพร้อมกับคาเลป เธอกำลังจะเข้าไปในโรงเรียนเก่าพร้อมกับชายหนุ่มรูปงามที่อยู่ข้างกาย เขาสูงหกฟุต ไหล่กว้างหนา แต่งกายในชุดดำ สวมเสื้อคลุมหนังยาวสีดำคอปกตั้งสูง พร้อมผมที่ยาวสลวย เขาดูเหมือนผู้ชายที่เดินออกมาจากปกนิตยสารชื่อดังในหมู่หญิงสาววัยรุ่น
เคทลินกำลังนึกภาพเมื่อเด็กผู้หญิงคนอื่น ๆ เห็นเธออยู่กับคาเลป เธอยิ้มออกมาในขณะที่กำลังคิด เธอไม่เคยมีชื่อเสียงมาก่อน และแน่นอนว่าไม่เคยมีผู้ชายคนไหนสนใจเธอ ไม่ใช่ว่าเธอไม่มีใครสนใจ อันที่จริงเธอก็มีเพื่อนที่ดีอยู่บ้าง แต่เธอแทบจะไม่เคยเป็นศูนย์กลางของความสนใจ เคทลินยังจำได้ถึงความรู้สึกที่ถูกเหยียดหยามจากเด็กผู้หญิงที่มีชื่อเสียงที่มักจะรวมกลุ่มกัน เด็กผู้หญิงเหล่านั้นชอบเดินหน้าเชิดลงมาจากห้องโถง ไม่สนใจทุกคนที่ไม่สมบูรณ์แบบเท่าพวกเธอ บางทีตอนนี้พวกเธออาจจะสนใจ
เคทลินและคาเลปเดินขึ้นไปตามขั้นบันได ผ่านประตูบานคู่อันกว้างใหญ่ ก้าวเข้าสู่บริเวณโรงเรียน เคทลินเงยหน้าขึ้นดูนาฬิกาขนาดใหญ่ ขณะนี้เวลา 8:30 น. ชั้นเรียนแรกจะถูกปล่อยออกมา และโถงทางเดินจะเต็มไปด้วยผู้คนในไม่กี่วินาที นั่นจะทำให้พวกเขาเป็นที่สนใจน้อยลง ที่นี่เธอไม่จำเป็นต้องกังวลเรื่องการรักษาความปลอดภัย หรือบัตรผ่านโถงทางเดิน
เสียงระฆังดังขึ้น และภายในไม่กี่วินาที ทางเดินในอาคารก็เต็มไปด้วยผู้คนมากมาย
ข้อดีของโรงเรียนมัธยมโอ๊กวิลล์คือมันเป็นอีกโลกหนึ่งที่แตกต่างจากโรงเรียนมัธยมในนครนิวยอร์กที่ไม่ได้เรื่อง แม้ว่าโถงทางเดินของที่นี่จะเต็มไปด้วยผู้คน แต่ยังคงมีที่ว่างมากพอสำหรับการขยับตัว บานหน้าต่างขนาดใหญ่เรียงรายอยู่ตามผนัง แสงแดดภายนอกสาดส่องเข้ามา และสามารถมองเห็นท้องฟ้า ทั่วทุกที่เต็มไปด้วยต้นไม้ มากเพียงพอที่จะทำให้เธอหายคิดถึง
เหลืออีกไม่กี่เดือนที่เธอจะสำเร็จการศึกษา แต่เธอรู้สึกราวกับว่าเธอได้เรียนรู้อะไรมากมายในช่วงไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมา มันคุ้มค่ามากกว่าการใช้เวลาที่เหลือไม่กี่เดือนนั่งเรียนอยู่ในห้องและรับประกาศนียบัตรอย่างเป็นทางการ เธอชื่นชอบการเรียน แต่เธอเพียงแค่มีความสุขที่ไม่ต้องกลับไปเป็นนักเรียนอีกครั้ง
ทั้งคู่เดินลงไปตามโถงทางเดิน เคทลินมองหาใบหน้าที่คุ้นเคย เด็กที่เดินผ่านมาส่วนใหญ่เป็นพวก ม. 4 และ ม. 5 เธอมองไม่เห็นใครในชั้นเรียนของเธอเลย ในขณะที่เดินผ่านไป เธอต้องรู้สึกประหลาดใจที่เห็นปฏิกิริยาบนใบหน้าของเด็กผู้หญิง เด็กผู้หญิงทุกคนจ้องมองมาที่คาเลป ไม่มีคนไหนพยายามปิดบังหรือแม้แต่ละสายตา มันช่างเหลือเชื่อมาก ราวกับว่าเธอกำลังเดินอยู่ในโถงทางเดินพร้อมกับ จัสติน บีเบอร์
เคทลินหันไปมอง เด็กผู้หญิงทุกคนหยุดเดินและยังคงจ้องมาที่คาเลป หลายคนกระซิบกระซาบกัน
เธอมองดูคาเลป สงสัยว่าเขารู้ตัวบ้างหรือเปล่า ถ้าเขารู้ เขาก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกมา และดูเหมือนว่าเขาไม่ได้สนใจเลยแม้แต่น้อย
“เคทลิน?” เสียงที่ตกใจดังขึ้น
เคทลินหันไป และพบกับ ลุยซา กำลังยืนอยู่ตรงนั้น หนึ่งในเด็กผู้หญิงที่เคยเป็นเพื่อนกับเธอก่อนที่เธอจะย้ายไป
“โอ้วพระเจ้า!” ลุยซาพูดต่ออย่างตื่นเต้น อ้าแขนกว้างพร้อมโผเข้ามาอย่างรวดเร็ว ก่อนที่เคทลินจะไหวตัวทัน ลุยซาได้โอบกอดเธอเรียบร้อยแล้ว เคทลินตอบรับอ้อมกอด รู้สึกดีที่ได้พบใบหน้าอันคุ้นเคยอีกครั้ง
“เกิดอะไรขึ้นกับเธอ?” ลุยซาถามออกมาด้วยความตื่นเต้น เหมือนที่เคยทำเช่นทุกครั้ง สำเนียงสเปนและโปรตุเกสของเธอเป็นเพราะเธอย้ายมาจากเปอร์โตริโกเมื่อไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น “ฉันงงมาก! ฉันคิดว่าเธอย้ายไปแล้ว!? ฉันส่งข้อความทางโทรศัพท์และแชทไปหาเธอ แต่ไม่เคยได้รับการตอบกลับเลย…”
“ฉันขอโทษ” เคทลินพูด “ฉันทำโทรศัพท์หาย ฉันไม่ได้ใช้คอมพิวเตอร์เลย และ…”
ลุยซาไม่ได้ฟังเลย ลุยซาเพิ่งเห็นคาเลป เธอกำลังจ้องมองเขาเหมือนโดนสะกดจิต และอ้าปากค้าง
“เพื่อนของเธอเป็นใครเหรอ?” ในที่สุดเธอก็กระซิบถาม เคทลินยิ้ม เธอไม่เคยเห็นเพื่อนของเธอตื่นเต้นขนาดนี้มาก่อน
“ลุยซานี่คือคาเลป” เคทลินพูด
“ยินดีที่ได้รู้จัก” คาเลปพูดพร้อมรอยยิ้ม และยื่นมือออกมา
ลุยซายังคงจ้องมองคาเลป เธอค่อย ๆ ยกมือขึ้นมาช้า ๆ อย่างงุนงง เห็นได้ชัดว่าเธอรู้สึกตกใจจนพูดไม่ออก เธอมองไปที่เคทลิน ไม่เข้าใจว่าเคทลินสามารถควงหนุ่มรูปงามแบบนี้ได้อย่างไร เธอมองเคทลินราวกับไม่รู้ว่าเธอเป็นใครมาก่อน
“เอ่อ…” ลุยซาเริ่มพูด ดวงตาเบิกกว้าง “เอ่อ…คือ…พวกเธอ…เจอกันได้ยังไง?”
เคทลินกำลังคิดว่าจะตอบอย่างไร เธอคิดที่จะบอกลุยซาทุกอย่าง แต่มันคงไม่ดีแน่ เธอยิ้มตอบ
“เราเจอกัน…หลังจากคอนเสิร์ต” เคทลินพูด
อย่างน้อยมันก็เป็นความจริงบางส่วน
“จิงเหรอ คอนเสิร์ตอะไร? ในเมืองเหรอ? แบล็กอายด์พีส์รึเปล่า?” เธอถามอย่างรวดเร็ว “ฉันอิจฉามากเลย! ฉันอยากไปดูวงนี้มาก!”
เคทลินยิ้มออกมากับความคิดที่ว่าคาเลปอยู่ในงานคอนเสิร์ตร็อก มันเป็นภาพที่เธอนึกไม่ออกเลยจริง ๆ
“เอิ่ม…ก็ไม่เชิงหรอก” เคทลินพูด “ฟังนะลุยซา ขอโทษที่ตัดบท แต่ฉันมีเวลาไม่มาก ฉันต้องการรู้ว่าแซมอยู่ที่ไหน เธอเจอเขาบ้างไหม?”
“แน่นอน ทุกคนเห็นเขา เขากลับมาเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว เขาดูแปลก ๆ ฉันถามว่าเขาไปไหนมา แต่เขาไม่บอก บางทีเขาน่าจะอยู่ที่โรงนาร้างที่เขาชอบไป”
“เขาไม่อยู่” เคทลินตอบ “เราเพิ่งไปที่นั่นมา”
“งั้นเหรอ? ขอโทษ ฉันไม่รู้ เขาเป็นเด็ก ม. 4 เธอก็รู้ พวกเราไม่ได้เข้าไปวุ่นวายมากนัก เธอลองส่งแชทหาเขารึยัง? เขาออนเฟซบุ๊กอยู่ตลอด”
“ฉันยังไม่มีโทรศัพท์…” เคทลินพูด
“ใช้ของฉันสิ” ลุยซาขัดจังหวะ และก่อนที่เคทลินจะพูดจบ ลุยซายื่นโทรศัพท์มือถือของเธอใส่มือของเคทลิน
“เฟซบุ๊กเปิดอยู่ แค่ลงชื่อเข้าใช้ และส่งข้อความหาเขา”
นั่นสิ เคทลินคิด ทำไมฉันไม่นึกถึงเรื่องนั้นมาก่อน?
เคทลินลงชื่อเข้าสู่ระบบ เธอพิมพ์ชื่อแซมในกล่องค้นหา ประวัติของเขาปรากฏขึ้น เธอคลิกไปที่ข้อความ เธอรู้สึกลังเลว่าจะพิมพ์อะไรลงไป จากนั้นเธอพิมพ์ว่า “แซม นี่ฉันเอง ฉันอยู่ที่โรงนา มาเจอฉันด่วนที่สุด”
เธอคลิกส่งและยื่นโทรศัพท์คืนให้ลุยซา
เคทลินได้ยินเสียงเอะอะ เธอหันไปมอง
กลุ่มของเด็กผู้หญิง ม. 6 ที่มีชื่อเสียงกำลังเดินตรงมาที่โถงทางเดิน พร้อมกับการซุบซิบ และจ้องมองไปที่คาเลป
นี่เป็นครั้งแรกที่เคทลินได้สัมผัสกับความรู้สึกใหม่ที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ เธอสามารถมองเห็นความอิจฉาได้จากสายตาของเด็กผู้หญิงเหล่านั้น กลุ่มที่ไม่เคยเหลียวมองเธอเลยสักครั้งคงอยากจะขโมยคาเลปไป เด็กผู้หญิงพวกนี้เกาะแกะผู้ชายไปทั่วในโรงเรียน ผู้ชายคนไหนก็ตามที่พวกเธอต้องการ ไม่สำคัญว่าเขาจะมีแฟนอยู่แล้วหรือไม่ คุณทำได้เพียงแค่ภาวนาว่าพวกเธอจะไม่เหลียวมองมาที่ผู้ชายของคุณ
และตอนนี้พวกเธอทั้งหมดกำลังจ้องมาที่คาเลป
เคทลินหวังว่าคาเลปจะไม่ได้รับผลกระทบจากอิทธิพลของพวกเธอ เธอหวังว่าเขาจะยังคงชอบเธออยู่ แต่ยิ่งคิดมากเท่าไร เธอยิ่งไม่เข้าใจว่าทำไมเขาจะต้องทำอย่างนั้น เธอเป็นแค่เด็กผู้หญิงทั่วไป ทำไมเขาต้องมาอยู่กับเธอในเมื่อเด็กผู้หญิงพวกนี้ปรารถนาในตัวของเขา
เคทลินอ้อนวอนอยู่ในใจ ขอให้เด็กผู้หญิงเหล่านี้เดินผ่านไป เธอขอแค่ครั้งนี้
แต่แน่นอนว่าพวกเธอไม่ทำ หัวใจของเธอเต้นรัวในขณะที่กลุ่มของเด็กผู้หญิงตรงเข้ามา
“สวัสดีเคทลิน” หนึ่งในเด็กผู้หญิงพูดกับเธอด้วยน้ำเสียงที่แสร้งทำเป็นมิตร
ทิฟฟานี่ รูปร่างสูง ผมบลอนด์ตรง ดวงตาสีน้ำเงิน และผอมบาง ตั้งแต่หัวจรดเท้าเหมือนหลุดออกมาจากการออกแบบของดีไซเนอร์ “เพื่อนของเธอเป็นใครเหรอ?”
เคทลินไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกไป ทิฟฟานี่และเพื่อนของเธอไม่เคยเสียเวลากับเธอเลย พวกเธอไม่เคยแม้แต่จะมองเห็นเคทลิน เธอรู้สึกตกใจมากที่เด็กผู้หญิงเหล่านี้รู้จักเธอและชื่อของเธอ ตอนนี้พวกเธอเป็นฝ่ายเริ่มบทสนทนา เคทลินรู้มันไม่เกี่ยวอะไรกับเธอ เด็กผู้หญิงพวกนี้ต้องการรู้เรื่องของคาเลป ต้องการรู้มากจนยอมพูดคุยกับเธออย่างถ่อมตัว
นี่เป็นลางสังหรณ์ที่ไม่ดี
คาเลปคงรับรู้ได้ถึงความไม่สบายใจของเคทลิน เพราะเขาเดินเข้ามาใกล้เธอ และวางแขนข้างหนึ่งลงบนไหล่ของเธอ
เคทลินไม่เคยรู้สึกยินดีมากขนาดนี้มาก่อนในชีวิต
ด้วยความมั่นใจใหม่ที่ถูกค้นพบ เคทลินรู้สึกถึงความเข้มแข็งที่จะพูด “คาเลป” เธอตอบกลับไป
“แล้วเธอมาทำอะไรที่นี่เหรอ?” เด็กผู้หญิงอีกคนถามขึ้น บันนี่เป็นภาพสะท้อนของทิฟฟานี่ เว้นแต่เธอมีผิวสีน้ำตาล “ฉันคิดว่าเธอจากไปแล้ว หรืออะไรทำนองนั้น”
“อืม ฉันกลับมาแล้ว” เคทลินตอบ
“แล้วเธอล่ะมาใหม่เหรอ?” ทิฟฟานี่ถามคาเลป “เธออยู่ ม. 6 เหรอ?”
คาเลปยิ้ม “ใช่ ฉันเพิ่งมาที่นี่” เขาตอบอย่างกำกวม
ดวงตาของทิฟฟานี่ส่องประกาย เมื่อเธอตีความว่านั่นหมายถึงคาเลปยังไม่คุ้นเคยกับโรงเรียน “เยี่ยม” เธอพูด “คืนนี้จะมีปาร์ตี้ที่บ้านของฉัน ถ้าเธออยากมา เชิญเฉพาะเพื่อนสนิทไม่กี่คน แต่เรายินดีที่จะเชิญนายและ…เอ่อ…เธอด้วย” ทิฟฟานี่พูด พร้อมมองมาที่เคทลิน
เคทลินรู้สึกถึงความโกรธที่ก่อตัวขึ้นภายในตัวของเธอ
“ขอบคุณสำหรับคำเชิญนะ” คาเลปตอบ “แต่เสียใจด้วยที่ต้องบอกว่าเคทลินและฉันมีนัดสำคัญแล้วคืนนี้”
เคทลินรู้สึกว่าหัวใจของเธอพองโต
ชัยชนะ
เธอมองดูสีหน้าของพวกเด็กผู้หญิงที่พังทลายลงเหมือนแถวของโดมิโน่ เธอไม่เคยได้สัมผัสถึงชัยชนะอันท่วมท้นแบบนี้มาก่อน
กลุ่มเด็กผู้หญิงเชิดหน้าและเดินหลีกไป
เคทลิน คาเลป และลุยซา ยืนนิ่งอยู่ที่นั่น เคทลินถอนหายใจออกมา
“สุดยอดเลย!” ลุยซาพูด “พวกผู้หญิงพวกนั้นไม่เคยเสียเวลากับใครมาก่อน หรือแม้แต่เสนอคำเชิญ”
“ฉันรู้” เคทลินพูด เธอยังคงงุนงง
“เคทลิน!” จู่ ๆ ลุยซาก็พูดขึ้น และเอื้อมมือมาคว้าแขนของเธอ “ฉันเพิ่งนึกขึ้นได้ ซูซานได้พูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับแซม เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ซูซานบอกว่าช่วงนี้เห็นแซมติดพันอยู่กับพวกโคลแมน ฉันขอโทษ ฉันเพิ่งนึกออก บางทีมันอาจจะช่วยได้”
พวกโคลแมน แน่นอน นั่นคือที่ที่เขาจะอยู่
“แล้วก็” ลุยซาพูดต่ออย่างเร่งรีบ “คืนนี้พวกเราทุกคนจะรวมตัวกันที่แฟรงค์ส เธอต้องมานะ พวกเราคิดถึงเธอมาก พาคาเลปมาด้วย มันจะต้องเป็นปาร์ตี้ที่เยี่ยมมาก ๆ เด็กกว่าครึ่งห้องนัดกัน เธอต้องไปที่นั่นนะ”
“เอ่อ…ฉันไม่รู้…”
ระฆังดังขึ้น
“ฉันต้องไปแล้ว ฉันดีใจมากที่เธอกลับมา รักเธอนะ มีอะไรก็โทรมา บ๊ายบาย” ลุยซาพูด พร้อมโบกมือให้เคทลิน และรีบหันหลังเดินลงไปที่โถงทางเดิน
เคทลินปล่อยให้ตัวเธอเองนึกถึงชีวิตปกติ การออกไปสนุกกับเพื่อน ๆ การไปปาร์ตี้ การเรียนอยู่ในโรงเรียนธรรมดา ชีวิตที่กำลังจะจบการศึกษา เธอชอบความรู้สึกนั้น ชั่วครู่หนึ่ง เธอพยายามลบภาพเหตุการณ์ทั้งหมดในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาออกจากใจของเธอ เธอบอกตัวเองไม่มีเรื่องร้ายอะไรเคยเกิดขึ้นเลย
แต่เมื่อมองเห็นคาเลป และความจริงก็ถาโถมเข้ามา ชีวิตของเธอเปลี่ยนไปแล้วอย่างสิ้นเชิง และจะไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก เธอเพียงแค่ต้องยอมรับมัน
การฆ่าใครบางคน ตำรวจที่กำลังตามหาเธอ หรืออีกนานแค่ไหนกว่าที่ตำรวจจะจับเธอได้ที่ไหนสักแห่ง หรือความจริงที่ว่าเผ่าพันธุ์แวมไพร์ทั้งหมดกำลังออกตามหาเธอ หรือดาบที่เธอกำลังค้นหาเพื่อช่วยเหลือชีวิตผู้คนมากมาย
ชีวิตไม่ได้เป็นอย่างที่มันเคยเป็น และไม่มีทางที่จะกลับไปเป็นเหมือนเดิม เธอเพียงแค่ต้องยอมรับความจริงในตอนนี้ให้ได้