bepul

กำเนิดราชันย์มังกร

Matn
0
Izohlar
O`qilgan deb belgilash
Shrift:Aa dan kamroqАа dan ortiq

“ทำไมพระถึงมีรอยสักรูปหมาจิ้งจอก?” อีกคนถาม

ชายอีกคนก้าวมาข้างหน้า ชายรูปร่างสูง ผอมบาง ผมสีแดง เขาจับข้อมือของเมิร์ค ตรวจสอบอย่างใกล้ชิด เขาปล่อยมือลง และมองมาที่เมิร์คด้วยสายตาหวาดระแวง

“นั่นไม่ใช่หมาจิ้งจอกไอ้พวกโง่” เขาพูดกับพรรคพวก “มันคือหมาป่า เครื่องหมายของชายที่เป็นคนของพระราชา พวกทหารรับจ้าง”

เมิร์ครู้สึกว่าใบหน้าของเขาแดงก่ำ เมื่อเขารู้ว่าพวกมันกำลังจ้องไปที่รอยสักของเขา เขาไม่อยากให้ใครเห็นมัน

โจรทั้งหมดเงียบลง จ้องไปยังรอยสัก และเป็นครั้งแรกที่เมิร์คเห็นความลังเลบนใบหน้าของพวกมัน

“นั่นคือลำดับของนักฆ่า” อีกคนพูดแล้วถามต่อ “เจ้าได้รอยสักนี้มาอย่างไร?”

“บางทีมันอาจทำขึ้นมาเองก็ได้” อีกคนตอบ “เพื่อให้การเดินทางปลอดภัยขึ้น”

ผู้นำพยักหน้าบอกคนของเขาให้ปล่อยแขนที่รัดคอออก เมิร์ครีบสูดหายใจเข้าลึก ๆ รู้สึกผ่อนคลาย แต่หัวหน้าโจรเดินเข้ามา และจ่อมีดลงบนคอของเมิร์ค เมิร์คสงสัยว่าถ้าเขาตายที่นี่ ในสถานที่แห่งนี้ มันอาจเป็นบทลงโทษสำหรับการสังหารทั้งหมดที่เขาทำ เขาสงสัยว่าเขาพร้อมที่จะยอมรับความตาย

“ตอบเขาสิ” หัวหน้าโจรตะคอก “เจ้าทำขึ้นมาเองใช่ไหม? พวกเขาพูดว่าเจ้าต้องฆ่าคนหนึ่งร้อยเพื่อให้ได้รอยสักนั้นมา”

เมิร์คสูดหายใจ ท่ามกลางความเงียบสงัด เมิร์คกำลังคิดว่าจะพูดอะไรออกไป ในที่สุดเขาก็ถอนหายใจออกมา

หนึ่งพัน” เขาพูด

ผู้นำกระพริบตา ทำหน้าฉงน

“อะไรนะ?” เขาถาม

“พันคน” เมิร์คอธิบาย “นั่นคือสิ่งที่ทำให้ได้รอยสักนั้นมา มันถูกมอบให้ข้าโดยพระราชาทาร์นิส”

พวกมันทั้งหมดจ้องมองอย่างตกใจ ตามมาด้วยความเงียบปกคลุมไปทั่วป่า เงียบมากจนเมิร์คสามารถได้ยินเสียงแมลงร้อง เขาสงสัยว่าจะเกิดอะไรขึ้นต่อไป

หนึ่งในพวกมันส่งเสียงหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า และคนที่เหลือก็หัวเราะตาม พวกมันทั้งหมดหัวเราะดังลั่น ในขณะที่เมิร์คยืนอยู่ที่นั่น กำลังคิดว่ามันคงเป็นเรื่องตลกที่สุดที่พวกมันเคยได้ยิน

“ตลกมากน้องชาย” โจรพูด “เจ้าเป็นพระที่โกหกเก่งชะมัด”

ผู้นำผลักมีดเข้ามาที่คอของเขา แรงพอที่จะทำให้เลือดไหล

“ข้าบอกว่าให้ตอบมา” หัวหน้าย้ำ “คำตอบที่แท้จริง เจ้าอยากตายตอนนี้ใช่ไหม?”

เมิร์คยืนอยู่ตรงนั้น รู้สึกเจ็บปวด เขาคิดทบทวนคำถาม ครุ่นคิดอย่างจริงจัง เขาต้องการตายที่นี่หรือ? มันเป็นคำถามที่ดี และมันเป็นคำถามที่ลึกซึ้งเกินกว่าที่พวกโจรคาดคิด ในขณะที่เขากำลังใช้ความคิด เขาตระหนักได้ว่าใจหนึ่งเขาเองก็อยากตาย เขาเหนื่อยกับการมีชีวิต ความเหนื่อยล้าที่แทรกซึมเข้ากระดูก

แต่เมื่อเขาใคร่ครวญอย่างถ่องแท้ เมิร์คกลับคิดว่าเขายังไม่พร้อมที่จะตาย ไม่ใช่ตอนนี้ ไม่ใช่วันนี้ ไม่ใช่ตอนที่เขาพร้อมเริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่ใช่ตอนที่เขาเริ่มมีความสุขกับการใช้ชีวิต เขาต้องการโอกาสเพื่อเปลี่ยนแปลง เขาต้องการโอกาสเพื่อรับใช้หอคอย เพื่อกลายเป็นผู้เฝ้ามอง

“ไม่ จริง ๆ แล้วข้ายังไม่อยากตาย” เมิร์คตอบ

แววตาของเขามุ่งมั่น ความฮึกเหิมกำลังก่อตัวขึ้นภายในใจของเขา

“และด้วยเหตุผลนั้น” เขาพูดต่อ “ข้าจะให้โอกาสพวกเจ้าอีกครั้งในการปล่อยข้าไป ก่อนที่ข้าจะฆ่าพวกเจ้าทั้งหมด”

พวกโจรมองมาที่เขาอย่างตกตะลึง ก่อนที่หัวหน้าโจรจะทำหน้าบึ้งและเริ่มลงมือ

เมิร์ครู้สึกถึงคมดาบที่เริ่มเฉือนลงบนคอของเขา บางอย่างภายในตัวของเขากำลังตอบสนอง มันคือความเชี่ยวชาญของเขา สิ่งที่เขาทำการฝึกฝนมาทั้งชีวิต เขาไม่สามารถทนได้อีกต่อไป นั่นหมายถึงการผิดต่อคำสาบานของตัวเอง…แต่เขาไม่สนใจมันอีกต่อไปแล้ว

เมิร์คคนเก่ากลับมาอย่างรวดเร็ว ราวกับว่าไม่เคยจากไปไหน…และในชั่วพริบตา เขาพบว่าตัวเองกลับเข้าสู่วังวนของการเป็นนักฆ่าอีกครั้ง

เมิร์คเพ่งสมาธิและมองดูการเคลื่อนไหวของคู่ต่อสู้ทั้งหมด ทุกการกระตุก ทุกจุดของแรงกดดัน ทุกตำแหน่งที่เปราะบาง ความปรารถนาที่จะฆ่าพวกมันทั้งหมดได้เข้าครอบงำเขาเรียบร้อยแล้ว ความรู้สึกที่คุ้นเคยเหมือนดังเพื่อนเก่า และเมิร์คปล่อยให้มันเป็นไป

ภายในการเคลื่อนไหวแบบสายฟ้าแลบเพียงครั้งเดียว เมิร์คจับข้อมือของหัวหน้าโจร กดนิ้วลงไปที่จุดหลอดลม กดลงไปจนมันแตก แล้วนั้นคว้ามีดที่หล่นลง เฉือนคอของชายคนนั้นจากหูข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่ง

หัวหน้าของพวกโจรจ้องมองเมิร์คด้วยความประหลาดใจ ก่อนที่จะล้มลงบนพื้น และนอนตายแน่นิ่ง

เมิร์คหันกลับไปและเผชิญหน้ากับพวกที่เหลือ ทั้งหมดจ้องกลับมา ตกตะลึง อ้าปากค้าง

ตอนนี้ถึงตาของเมิร์คที่จะเป็นฝ่ายยิ้ม เขามองดูพวกมันทั้งหมด รู้สึกเพลิดเพลินอย่างยิ่งกับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น

“บางครั้งนะ ไอ้หนู” เขาพูด “พวกเจ้าก็เลือกที่จะหาเรื่องผิดคน”

บทที่ห้า

ไคร่ายืนอยู่กลางสะพานที่เต็มไปด้วยผู้คน สัมผัสได้ถึงทุกคู่สายตาที่จับจ้องมองเธอ ทุกคนกำลังรอการตัดสินใจของเธอสำหรับโชคชะตาของหมูป่า แก้มของเธอแดงระเรื่อ เธอไม่ชอบการเป็นจุดสนใจ แม้ว่าเธออยากให้พ่อยอมรับตัวเธอก็ตาม เธอไม่ค่อยยินดีนักกับการที่พ่อผลักภาระการตัดสินใจมาไว้ในมือของเธอ

และในขณะเดียวกัน เธอตระหนักถึงความรับผิดชอบอันใหญ่หลวง ไม่ว่าเธอจะเลือกอะไร เธอจะเป็นคนตัดสินโชคชะตาของผู้คนของเธอ เธอเกลียดชาวแพนดีเซีย เธอไม่ต้องการโยนผู้คนของเธอเข้าสู่สงครามที่พวกเขาไม่มีทางชนะ และเธอก็ไม่ต้องการยอมอ่อนข้อ เพื่อทำให้ทหารของลอร์ดฮึกเฮิม ไม่อยากทำให้คนของเธอต้องอับอาย ทำให้พวกเขาดูอ่อนแอ โดยเฉพาะอย่างยิ่งหลังจากที่เอนวินและคนอื่น ๆ ออกมายืนแสดงตัวอย่างกล้าหาญ

เธอรู้ว่าพ่อของเธอฉลาดที่ผลักภาระการตัดสินใจมาให้เธอ เขาทำให้เหมือนกับว่าการตัดสินใจนี้เป็นของพวกเขา ไม่ใช่ทหารของลอร์ด และสิ่งนี้จะช่วยกู้หน้าคนของเขา เธอรู้ว่าพ่อผลักการตัดสินใจมาให้อยู่ในมือของเธอ เพราะเขารู้ว่าสถานการณ์นี้ต้องการเสียงเพื่อช่วยรักษาหน้าของทุกฝ่าย และพ่อเลือกเธอเนื่องจากเธอเหมาะสม พ่อรู้ว่าเธอไม่ผลีผลาม เสียงของเธอเป็นกลาง ยิ่งครุ่นคิดมากเท่าไร ไคร่าก็ยิ่งตระหนักได้ว่าทำไมพ่อถึงเลือกเธอ ไม่ใช่เพราะไม่อยากจุดชนวนสงคราม ถ้าเป็นเหตุผลนั้นพ่อคงเลือกเอนวิน แต่พ่อต้องการพาคนของเขาออกมาอย่างไร้ร่องรอย

เธอตัดสินใจได้แล้ว

“สัตว์ร้ายต้องคำสาป” เธอพูดออกมาโดยไม่สนใจใครทั้งนั้น “มันเกือบฆ่าพี่น้องของข้า มันมาจากป่าแห่งหนามและทำลายวันหยุดในช่วงเหมันต์จันทรา วันต้องห้ามสำหรับการล่า การนำมันเข้ามาในประตูคือความผิดพลาด มันควรถูกทิ้งให้เน่าเปื่อยในป่า อยู่ในที่ของมัน”

เธอหันไปหาทหารของลอร์ดอย่างเย้ยหยัน

“นำไปให้ลอร์ดผู้ว่าของเจ้า” เธอพูดและยิ้ม “เจ้าจะได้ช่วยเรา”

ทหารของลอร์ดมองเธอและมองไปยังสัตว์ร้าย สีหน้าของพวกเขาเปลี่ยนไป ตอนนี้พวกเขาทำหน้าขยะแขยง พวกเขาไม่ต้องการมันอีกแล้ว

เอนวินและคนอื่น ๆ มองไคร่าด้วยสายตายอมรับอย่างสุดซึ้ง และเหนือสิ่งอื่นใดมันคือพ่อของเธอที่มองมา เธอได้ทำลงไปแล้ว เธอช่วยกู้หน้าคนของเธอ ละเว้นพวกเขาจากสงคราม และได้เยาะเย้ยแพนดีเซียในเวลาเดียวกัน

พี่ชายของเธอปล่อยหมูป่าไว้บนพื้น มันตกลงบนหิมะเสียงดัง พวกเขาถอยออกมาอย่างถ่อมเนื้อถ่อมตัว ไหล่ของพวกเขาห่อลงอย่างเห็นได้ชัด

ตอนนี้สายตาทุกคู่มองไปยังทหารของลอร์ดที่กำลังยังยืนอยู่ พวกเขาไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เห็นได้ชัดว่าคำพูดของไคร่านั้นช่างแทงใจ พวกเขามองไปที่สัตว์ร้ายราวกับว่ามันเป็นสิ่งเน่าเหม็นที่ถูกลากขึ้นมาจากหลุมลึกใต้โลก พวกเขาแสดงออกว่าไม่ต้องการมัน แม้ว่าหมูป่าจะเป็นของพวกเขา พวกเขาดูสูญเสียความปรารถนาไปแล้ว

หลังจากที่ยืนอยู่ท่ามกลางความตึงเครียดเป็นเวลานาน ในที่สุดผู้บังคับบัญชาของพวกเขาก็ชี้สั่งการให้ยกสัตว์ร้ายขึ้นมา หันหลังกลับ ทำหน้ามุ่ยและเดินจากไป รู้สึกรำคาญอย่างเห็นได้ชัด เหมือนรู้ว่าเขาถูกทำให้เสียเชิง

ฝูงชนต่างพาแยกย้าย ความตึงเครียดหมดไป แทนที่ด้วยความโล่งอก คนของพ่อหลายคนต่างเห็นพ้อง พวกวางมือลงบนบ่าของเธอ

“ทำได้ดีมาก” เอนวินพูด มองไคร่าด้วยสายตาเห็นชอบ “เจ้าสามารถเป็นผู้ปกครองที่ดีได้ในภายภาคหน้า”

ชาวบ้านต่างพากันเดินออกไป ความอลหม่านและความวุ่นวายกลับมาอีกครั้ง ความเคร่งเครียดสลายลง ไคร่าหันไปและมองหาสายตาของพ่อ พ่อกำลังมองมา เขายืนห่างออกไปไม่กี่ฟุต ต่อหน้าคนของเขา พ่อมักสงวนท่าทีในเรื่องที่เกี่ยวกับเธอ และครั้งนี้ก็ไม่ต่างกัน พ่อมีท่าทางไม่แยแส แต่เขาพยักหน้ามาที่เธอเล็คน้อย การพยักหน้าที่หมายถึงการยอมรับ

ไคร่ามองเห็นเอนวินและไวดาร์กำลังกำหอกของเขา หัวใจของเธอเต้นรัว

“ข้าขอร่วมทางไปด้วยได้ไหม?” เธอถามเอนวิน เธอรู้ว่าพวกเขากำลังจะไปที่สนามซ้อมรบ เช่นเดียวกับคนที่เหลือของพ่อ

เอนวินมองไปที่พ่อของเธออย่างสับสน รู้ว่าเขาต้องไม่ยอมอย่างแน่นอน

“หิมะกำลังหนาขึ้น” เอนวินตอบออกมาอย่างลังเล “ใกล้มืดแล้วด้วย”

“แต่สิ่งนั้นไม่ได้หยุดท่าน” ไคร่าแย้ง

เขายิ้มกลับมา

“ใช่ มันไม่ได้หยุดข้า” เขายอมรับ

เอนวินมองไปที่พ่อของเธออีกครั้ง เธอหันไปมอง พ่อของเธอส่ายหัวก่อนที่จะหันหลังกลับและมุ่งหน้าสู่ด้านใน

เอนวินถอนหายใจ

“พวกเขากำลังเตรียมงานฉลองอันยิ่งใหญ่” เขาพูด “เจ้าควรกลับเข้าไป”

ไคร่าได้กลิ่นของงานเลี้ยง ในอากาศเต็มไปด้วยกลิ่นของเนื้อย่างชั้นดี เธอมองเห็นพี่น้องของเธอกำลังเดินเข้าไปด้านใน พร้อมกับชาวบ้านจำนวนหนึ่ง ทั้งหมดกำลังเร่งรีบสำหรับงานเทศกาล

แต่ไคร่าหันกลับมา และมองออกไปยังทุ่งกว้างของสนามซ้อมรบ

“มื้ออาหารรอได้” เธอพูด “การฝึกซ้อมรอไม่ได้ ไปกันเถอะ”

ไวดาร์ยิ้ม และส่ายหัวของเขา

“เจ้าเป็นเด็กผู้หญิง ไม่ได้เป็นนักรบไม่ใช่หรือ?” ไวดาร์ถาม

“ข้าเป็นทั้งสองอย่างไม่ได้หรือ?” เธอตอบ

เอนวินถอนหายใจยาว และส่ายหัว

“พ่อของเจ้าจะลงโทษข้า” เขาพูด

หลังจากนั้น ในที่สุดเขาก็พยักหน้า

“ยังไงเจ้าก็คงไม่ยอม” เขาสรุป “เจ้าได้ใจคนของข้ามากกว่าครึ่ง ข้าคิดว่าเราให้เจ้าเข้าร่วมได้”

*

ไคร่าวิ่งข้ามทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยหิมะ ตามหลังเอนวิน ไวดาร์ และคนของพ่ออีกหลายคน เลโออยู่ข้างเธอเหมือนเคย หิมะตกหนักขึ้น แต่เธอไม่สนใจ เธอรู้สึกเป็นอิสระ เบิกบานใจ เฉกเช่นทุกครั้งที่ได้ผ่านเข้าสู่ประตูนักรบ ประตูโค้งต่ำบนกำแพงหินของสนามซ้อมรบ เธอสูดหายลึก เมื่อเข้ามาถึงด้านใน ภายใต้ท้องฟ้าเปิดโล่ง เธอวิ่งไปยังตำแหน่งที่เธอชื่นชอบมากที่สุด มันคือเนินหญ้าสีเขียวที่ตอนนี้ถูกปกคลุมด้วยหิมะ ล้อมรอบด้วยกำแพงหิน กว้างและลึกประมาณหนึ่งในสี่ไมล์ เธอรู้สึกคุ้นเคยกับทุกอย่างที่ดำเนินอยู่ตอนนี้ ทหารทุกคนกำลังฝึกซ้อม ควบม้าซิกแซก ควงหอก เล็งเป้าหมายระยะไกลและพุ่งเข้าไป นี่คือสิ่งที่เธอต้องการ สิ่งที่เรียกว่าชีวิต

สนามซ้อมรบแห่งนี้ถูกสงวนไว้สำหรับทหารของพ่อ ไม่อนุญาตให้ผู้หญิงเข้ามา ไม่ว่าเด็กผู้ชายที่อายุยังไม่ถึงสิบแปดปี และใครก็ตามที่ไม่ได้รับเชิญ แบรนดอนและแบร็กซ์ตันเฝ้ารอทุกวันด้วยความอดทนเพื่อที่จะถูกเรียกเชิญ และไคร่าคิดว่าพวกเขาคงไม่มีวัน ประตูนักรบคือสถานที่สำหรับนักรบที่กรำศึก และมีเกียรติ ไม่ใช่สำหรับพวกสมองกลวงอย่างพวกพี่ชายของเธอ

ไคร่าวิ่งผ่านสนามอย่างเริงร่าและมีความสุขมากกว่าที่ไหนในโลก พลังแห่งความมุ่งมั่น นักรบชั้นเลิศของพ่อสวมใส่ชุดเกราะที่แตกต่างกัน นักรบจากทั่วสารทิศของเอสคาลอนต่างมารวมตัวกันที่ป้อมปราการของพ่อ พวกเขามาจากเธบัสและเลปติสที่อยู่ทางใต้และมิดแลนด์ ส่วนใหญ่จะมาจากเมืองหลวงเอนดรอส รวมถึงภูเขาแห่งคอสที่มีชาวตะวันตกจากเยอร์ ริมแม่น้ำจากธูซิสและเขตเอสพุส ผู้ชายที่อาศัยอยู่ใกล้ทะเลสาบไอร์ และน้ำตกเอเวอร์ฟอลล์ที่ไกลออกไป พวกเขาสวมใส่เสื้อเกราะสีต่าง ๆ ถืออาวุธหลากหลายชนิด เหล่าผู้ชายตัวแทนจากแต่ละแห่งในเอสคาลอนสะท้อนถึงความมั่นคง และความสว่างไสวของพลัง

พ่อของเธอเป็นอดีตนักรบของพระราชา ชายผู้ได้รับการยกย่องอย่างสูงส่ง ชายเพียงผู้เดียวในเวลานี้ แห่งอาณาจักรที่แตกสลาย ชายผู้สามารถรวบรวมกำลัง ตั้งแต่การยอมศิโรราบอาณาจักรโดยไม่ยอมต่อสู้ของพระราชาองค์ก่อน พ่อของเธอต้องการให้สืบบัลลังก์ต่อและนำพาสู่การต่อสู้ นักรบที่ยอดเยี่ยมที่สุดของพระราชาองค์ก่อนต่างกลับมา และตอนนี้กองกำลังได้เติบโตเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ ความแข็งแกร่งของโวลิสแทบจะต่อกรกับเมืองหลวงได้แล้ว บางทีนั่นอาจเป็นสาเหตุที่ไคร่าคิดว่าทหารของลอร์ดต้องการปรามพวกเขา

 

ที่อื่นในเอสคาลอน ลอร์ดผู้ว่าแห่งแพนดีเซียจะไม่อนุญาตให้อัศวินรวมตัวกัน ไม่ยินยอมให้มีเสรีภาพ เพื่อป้องกันการปฏิวัติ แต่ที่โวลิสต่างออกไป ที่นี่พวกเขาไม่มีทางเลือก พวกเขาจำต้องยอมเพราะพวกเขาต้องการคนที่ยอดเยี่ยมเพื่อปกปักษ์รักษากำแพงอัคคี

ไคร่าหันหลังมองไปเหนือกำแพง เหนือเนินเขาสีขาว ระยะขอบฟ้าอันไกลโพ้น แม้ว่ามันจะมีหิมะตกอยู่ เธอสามารถมองเห็นแสงสว่างลาง ๆ ของกำแพงอัคคี กำแพงแห่งเปลวเพลิงที่ปกป้องเขตแดนตะวันออกของเอสคาลอน กำแพงไฟของกำแพงอัคคีลึกห้าสิบฟุตและสูงหลายร้อยฟุต เปลวเพลิงลุกโหมไหม้ส่องสว่างโชติช่วง สามารถมองเห็นได้บนเส้นขอบฟ้าและยิ่งเด่นชัดมากขึ้นในยามราตรี แผ่ขยายออกไปยาวเกือบห้าสิบไมล์ กำแพงอัคคีคือสิ่งเดียวที่กั้นระหว่างเอสคาลอนและกลุ่มโทรลป่าเถื่อนที่อยู่ทางฝั่งตะวันออก

ถึงกระนั้นก็ยังมีโทรลจำนวนหนึ่งหลุดรอดเข้ามาอาละวาด และถ้าไม่ใช่เพราะคนเฝ้าประตู กลุ่มชายผู้กล้าหาญของพ่อที่คอยดูแลรักษากำแพงอัคคี ป่านนี้เอสคาลอนคงตกเป็นทาสของโทรลไปแล้ว พวกโทรลกลัวน้ำ มันสามารถโจมตีเอสคาลอนบนพื้นดินได้เท่านั้น และกำแพงอัคคีคือสิ่งเดียวที่คอยสกัดกั้นพวกโทรลไว้ ผู้รักษาประตูจะคอยเฝ้าระวังกันเป็นกะ ผลัดเปลี่ยนเวรเดินลาดตระเวน และแพนดีเซียต้องการพวกเขา ยังมีพวกอื่นที่ประจำการอยู่ที่กำแพงอัคคีเช่นกัน ทั้งเหล่าทหารเกณฑ์ ทาสและอาชญากร แต่ผู้รักษาประตูของพ่อคือทหารคนสำคัญ และเป็นเพียงผู้เดียวที่รู้ว่าต้องดูแลรักษากำแพงอัคคีอย่างไร

เพื่อเป็นการตอบแทน แพนดีเซียจึงอนุญาตให้โวลิสได้รับอิสรภาพในเรื่องบางอย่างภายใต้ขอบเขตของการอนุญาต เช่น สนามซ้อมรบแห่งนี้และอาวุธจริง รสชาติของอิสรภาพอันเล็กน้อยที่พอทำให้พวกเขารู้สึกเหมือนเป็นนักรบเสรี แม้ว่ามันคือภาพลวงตาก็ตาม เพราะทุกคนต่างรู้ดีว่าพวกเขาไม่ใช่เสรีชน พวกเขาใช้ขีวิตด้วยความอึดอัดระหว่างอิสรภาพและความเป็นทาส ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องยอมอดทน

แต่ในประตูนักรบแห่งนี้ อย่างน้อยพวกเขาก็ได้เป็นอิสระในแบบที่เคยเป็น เหล่านักรบสามารถชิงชัย ฝึกฝนและเพิ่มพูนทักษะ พวกเขาเป็นตัวแทนที่ดีที่สุดของเอสคาลอน ดีกว่านักรบที่แพนดีเซียมี พวกเขาคือทหารผ่านศึกของกำแพงอัคคี ทั้งหมดผลัดกันเข้าเวรที่นั่น ไคร่าไม่ต้องการสิ่งใดมากไปกว่าการเข้าร่วมกับพวกเขา เพื่อพิสูจน์ตัวของเธอเอง เพื่อเข้าประจำการที่กำแพงอัคคี เพื่อต่อสู้กับโทรลเมื่อพวกมันฝ่าเข้ามา และช่วยปกป้องอาณาจักรของเธอจากการรุกราน

เธอรู้ว่าไม่มีทางเป็นไปได้ เธอยังเด็กเกินไปที่จะได้รับเลือก…และเธอเป็นเด็กผู้หญิง ในกลุ่มไม่มีเด็กผู้หญิงเลยสักคน ต่อให้มีพ่อของเธอจะต้องไม่อนุญาตอย่างแน่นอน นอกจากนี้คนของพ่อมักมองเธอเหมือนเด็ก เมื่อเธอเริ่มมาที่นี่เมื่อปีก่อน ทุกคนรู้สึกตลกกับการปรากฏตัวของเธอ เหมือนเธอมาเป็นผู้ชม แต่หลังจากที่พวกเขากลับไปแล้ว เธอยังคงอยู่ที่นี่เพียงลำพัง ฝึกฝนทุกวันทุกคืนบนสนามโล่ง ใช้อาวุธและเป้าของพวกเขา ในวันถัดมาพวกเขาต้องประหลาดใจเมื่อพบว่ามีลูกธนูปักอยู่ที่เป้า และประหลาดใจยิ่งกว่าที่เห็นลูกธนูนั้นปักอยู่ตรงกลาง แต่เมื่อนานวันเข้า พวกเขาก็เริ่มคุ้นเคยกับมัน

ไคร่าเริ่มได้รับการอนุญาตจากพวกเขา เธอได้รับการยินยอมให้เข้าร่วมในบางโอกาส หลังจากนั้นสองปี เธอสามารถยิงธนูเข้าเป้าในขณะที่พวกเขาทำไม่ได้ การไม่ยอมรับของพวกเขาได้แปรเปลี่ยนเป็นความเคารพที่มีต่อตัวเธอ เธอยังไม่เคยต่อสู้ในสงครามเหมือนผู้ชายคนอื่น ยังไม่เคยฆ่าใคร ไม่เคยยืนคุ้มกันกำแพงอัคคี หรือเผชิญหน้ากับโทรล เธอไม่สามารถกวัดแกว่งดาบหรือขวานหรือง้าวหรือสู้ฟัดเหมือนอย่างที่ผู้ชายเหล่านี้ทำ เธอไม่ได้มีร่างกายแข็งแกร่งเท่าพวกเขา นั่นเป็นสิ่งที่เธอรู้สึกเสียใจอย่างมาก

แต่ไคร่าได้เรียนรู้ว่าเธอมีพรสวรรค์ด้านการใช้อาวุธสองชนิด ธนูและไม้เท้าทำให้เด็กผู้หญิงตัวเท่าเธอกลายเป็นคู่ต่อสู้ที่น่ากลัว เธอค้นพบโดยบังเอิญในวันพระจันทร์ครั้งที่แล้ว เมื่อเธอไม่สามารถยกดาบด้วยสองมือของเธอ พวกผู้ชายต่างพากันหัวเราะกับการการกวัดแกว่งดาบที่ไร้ความสามารถของเธอ และจากการดูถูกนั้น หนึ่งในพวกเขาได้โยนไม้เท้าเข้ามาอย่างเยาะเย้ย

“ดูซิว่าเจ้าจะยกไม้เท้านี้แทนได้ไหม!” เขาตะโกน และคนอื่น ๆ ก็หัวเราะลั่น ไคร่ายังคงจดจำความอับอายของเธอในครั้งนั้นได้เป็นอย่างดี

ตอนแรกทหารของพ่อมองไม้เท้าของเธอเป็นเรื่องตลก ต่อมาพวกเขาได้นำมาใช้เป็นอาวุธสำหรับการซ้อมรบ ชายผู้กล้าหาญที่แบกดาบสองมือ ขวานและง้าว ผู้ซึ่งสามารถตัดต้นไม้ได้ด้วยการฟันเพียงครั้งเดียว พวกเขามองไม้เท้าของเธอเป็นของเล่น และมันทำให้เธอได้รับการยอมรับน้อยลงไปอีก

แต่เธอทำให้เรื่องตลกกลายเป็นอาวุธแห่งการแก้แค้นที่ไม่คาดคิด อาวุธที่ต้องเกรงกลัว อาวุธที่แม้ตอนนี้ทหารของพ่อเองก็ไม่สามารถรับมือได้ ไคร่ารู้สึกแปลกใจกับน้ำหนักที่เบาของมัน และแปลกใจยิ่งกว่าเมื่อพบว่าเธอสามารถใช้มันได้อย่างเป็นธรรมชาติ เธอสามารถโจมตีเป้าหมายได้อย่างรวดเร็วในขณะที่ทหารเพิ่งจะชักดาบออกมา ผู้ชายหลายคนที่เธอฝึกฝนด้วยต้องกลับไปพร้อมกับรอยฟกช้ำ นี่คือเส้นทางการต่อสู้ของเธอเพื่อให้ได้มาซึ่งการยอมรับ

ไคร่าผ่านค่ำคืนของการฝึกฝนด้วยตัวเอง เธอเป็นคนสอนตัวเอง ความเชี่ยวชาญทุกท่วงท่าที่ทำให้พวกผู้ชายสับสน การเคลื่อนไหวที่ไม่มีใครเข้าใจได้อย่างถ่องแท้ พวกเขาเริ่มสนใจไม้เท้าของเธอ เธอจึงสอนพวกเขา ในความคิดของไคร่า ธนูและไม้เท้าของเธอต่างเติมเต็มซึ่งกันและกัน ทั้งสองมีความจำเป็นอย่างเท่าเทียม เธอใช้ธนูสำหรับการต่อสู้ระยะไกล และไม้เท้าสำหรับการต่อสู้ระยะประชิด

ไคร่ายังค้นพบว่าเธอมีพรสวรรค์ที่พวกผู้ชายเหล่านี้ไม่มี ความคล่องแคล่วดุจปลาซิวในท้องทะเลที่เต็มไปด้วยฉลามที่เคลื่อนไหวอย่างเชื่องช้า คนสูงวัยเหล่านี้มีพลังมหาศาลแต่ไม่รวดเร็วเท่าเธอ ไคร่าสามารถเต้นไปรอบ ๆ พวกเขา กระโจนขึ้นไปในอากาศ แม้แต่ตีลังกาข้ามพวกเขา และม้วนตัวร่อนลงยืนอย่างสวยงามอย่างสมบูรณ์ เมื่อความคล่องแคล่วของเธอรวมกับเทคนิคการใช้ไม้เท้า ทำให้มันกลายเป็นการผสมผสานที่อันตราย

เธอมาทำอะไรที่นี่?” เสียงห้าวเปล่งออกมา

ไคร่ายืนอยู่ข้างสนามซ้อมรบ ข้างเอนวินและไวดาร์ เสียงควบม้าดังแว่วมา เธอหันไปมอง มัลเทรนกำลังขี่ม้ามา ขนาบข้างด้วยเพื่อนทหารของเขา หายใจอย่างเหนื่อยหอบขณะที่ถือดาบอยู่ในมือ เขาเพิ่งฝึกซ้อมเสร็จ มองมาที่เธออย่างเหยียดหยัน เธอรู้สึกแกร็งท้องแน่น ในบรรดาของทหารของพ่อ มัลเทรนคือคนเดียวที่ไม่ชอบเธอ เขาเกลียดเธอด้วยเหตุผลบางอย่างตั้งแต่แรกเห็น

มัลเทรนนั่งอยู่บนม้าด้วยสีหน้าโกรธจัด พร้อมจมูกที่แบนและใบหน้าอันน่าเกลียด เขาคือชายที่ชื่นชอบความเกลียด และเขาดูเหมือนจะพบเป้าหมายอยู่ในตัวไคร่า เขามักคัดค้านเมื่อเธอมาอยู่ที่นี่เสมอ บางทีอาจเป็นเพราะเธอคือเด็กผู้หญิง

“เด็กน้อย เจ้าควรกลับไปยังป้อมปราการของพ่อเจ้า” เขาพูด “เตรียมงานสำหรับการฉลองเหมือนกับเด็กคนอื่น เจ้าเด็กดื้อ”

เลโอส่งเสียงข่มขู่มัลเทรน ไคร่าวางมือลงบนหัวของมัน เพื่อให้มันถอยไป

“และหมาป่าตัวนั้น ทำไมถึงเข้ามาในสนามได้?” มัลเทรนเสริม

เอนวินและไวดาร์มองมัลเทรนอย่างเย็นชาและแข็งกระด้าง พวกเขาเข้าข้างไคร่า ไคร่ายึดมั่นอยู่ในที่ของเธอและยิ้มตอบ เธอรู้ว่าเธอได้รับการปกป้องและเขาไม่สามารถบังคับให้เธออกไปได้

“บางที่เจ้าควรกลับไปยังสนามซ้อม” เธอแย้งด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย “และไม่ต้องมาสนแต่เรื่องเด็กดื้อที่เข้าออกไปมา”

มัลเทรนหน้าแดงก่ำ ไม่สามารถโต้ตอบได้ เขาหันหลังกลับ เตรียมควบม้าออกไป แต่เขาทิ้งทวนคำพูดให้กับเธอ

“วันนี้เป็นการใช้หอก” เขาพูด “เจ้าควรอยู่ให้ห่างจากลูกผู้ชายตัวจริงที่กำลังขว้างอาวุธจริง”

เขาควบม้าออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ เธอมองตาตาม ความสุขของเธอที่ได้อยู่ในสถานที่แห่งนี้ถูกทำลายโดยการปรากฏตัวของเขา

เอนวินมองเธออย่างห่วงใยและวางมือบนบ่าของเธอ

“บทเรียนแรกของนักรบ” เขาพูด “คือการเรียนรู้ที่จะอยู่กับคนที่เกลียดเจ้า ไม่ว่าจะเจ้าชอบหรือไม่ เจ้าจะพบว่าตัวเองกำลังต่อสู้เคียงบ่าเคียงไหล่กับเขา พึ่งพาพวกเขาเพื่อชีวิตของเจ้า บ่อยครั้งศัตรูที่ร้ายกาจที่สุดของเจ้าไม่ได้มาจากภายนอก แต่มันมาจากภายใน”

“และสำหรับผู้ที่ไม่สามารถต่อสู้ ก็ได้แต่พล่าม” อีกเสียงพูดออกมา

ไคร่าหันกลับไป อัทฟาเอลกำลังเดินยิ้มใกล้เข้ามา เข้าข้างเธออย่างรวดเร็วเช่นทุกครั้ง เหมือนกับเอนวินและไวดาร์ อัทฟาเอลเป็นนักรบดุดันร่างสูง หัวล้านและหนวดเคราสีดำยาว เขามักอ่อนโยนกับเธอ เขาคือหนึ่งในนักดาบผู้เก่งกาจที่สุด ยากที่จะเอาชนะ และเขายืนขึ้นเพื่อเธอเสมอ เธอรู้สึกสบายใจกับการปรากฏตัวของเขา

“มันก็แค่การโอ้อวด” อัทฟาเอลเสริม “ถ้ามัลเทรนเป็นนักรบที่ดีกว่านี้ เขาจะกังวลเรื่องตัวเองแทนเรื่องคนอื่น”

เอนวิน ไวดาร์ และอัทฟาเอลขึ้นขี่ม้าของพวกเขาควบออกไปพร้อมกับคนอื่น ๆ ไคร่ายืนอยู่ที่นั่น กำลังมองพวกเขา คิดทบทวน ทำไมบางคนถึงเกลียดเธอ? เธอสงสัย เธอไม่รู้ว่าจะสามารถเข้าใจได้อย่างไร

พวกเขาควบม้าไปทั่วสนาม แข่งขันกันเป็นวงกว้าง ไคร่าศึกษาการสู้รบบนหลังม้าอย่างตื่นเต้น เธอหวังว่าสักวันหนึ่งเธอจะมีม้าเป็นของตัวเอง เธอมองเหล่าทหารที่อยู่ในสนาม ขี่ม้าไปตามแนวกำแพงหิน ม้าของพวกเขาลื่นล้มบนหิมะเป็นครั้งคราว เหล่าทหารจับหอกที่ผู้รับใช้นักรบยื่นมาให้ พวกเขาวนไปรอบ ๆ และขว้างหอกไปยังเป้าหมายระยะที่อยู่ในไกล โล่ที่แขวนไว้กับกิ่งไม้ หอกพุ่งเข้าเป้า ตามด้วยเสียงโลหะกระทบกัน

การขว้างหอกในขณะกำลังควบม้าทำได้ยาก ทหารหลายคนพลาดเป้า โดยเฉพาะเมื่อพวกเขาเล็งไปยังโล่ที่เล็กกว่า ส่วนคนที่ปาเข้าเป้าก็มีเพียงน้อยนิดที่จะโดนกลางเป้า ยกเว้นเอนวิน ไวดาร์ อัทฟาเอล และอีกสองสามคน เธอสังเกตเห็นมัลเทรนพลาดเป้าไปหลายครั้ง เขาสบถภายใต้ลมหายใจและจ้องมาที่เธอ ราวกับว่าจะโทษว่าเป็นความผิดเธอ

ไคร่าต้องการอบอุ่นร่างกาย เธอจึงดึงไม้เท้าออกมา ใช้มือหมุนควงขึ้นเหนือศีรษะ หมุนรอบตัวไปมาราวกับว่ามันมีชีวิต เธอแทงไปยังศัตรูที่อยู่ในจินตนาการ ปัดป้องลูกธนู สลับมืออย่างว่องไว ควงไม้เท้าขึ้นไปที่คอ รอบเอว ราวกับว่าไม้เท้าเป็นมือที่สามของเธอ ไม้ของเธอสึกหรอไปตามเวลาการใช้งาน

ในขณะที่พวกทหารล้อมวงกันอยู่ที่สนาม ไคร่าวิ่งออกไปยังสนามขนาดเล็กของเธอ พื้นที่เล็ก ๆ ของสนามซ้อมรบที่ไม่มีใครใช้งาน แต่เป็นมุมที่เธอชื่นชอบมากที่สุด ชิ้นส่วนของชุดเกราะถูกผูกกับเชือกห้อยโตงเตงจากต้นไม้ กระจายไปตามความสูงระดับต่าง ๆ ไคร่าวิ่งไปและคิดว่าแต่ละเป้าหมายคือศัตรู โจมตีทุกเป้าหมายด้วยไม้เท้าของเธอ เสียงกระทบของไม้ดังระรัว เธอวิ่งไปรอบ ๆ พ่วงลีลาการฟาดฟัน กวัดแกว่ง และก้มหลบเมื่อมันเหวี่ยงกลับมาหาเธอ เธอจินตนาการว่านี่คือการโจมตีและป้องกันอย่างเฉิดฉาย กำราบกองทัพของศัตรูได้อย่างราบคาบ

“ฆ่าใครได้หรือยัง?” เสียงเยาะเย้ยดังขึ้น

ไคร่าหันกลับมา มัลเทรนอยู่บนม้าของเขา กำลังหัวเราะเย้ยหยันเธอ ก่อนที่จะขี่ม้าออกไป เธอโกรธเคือง หวังว่าจะมีใครสักคนฉีกหน้าเขาได้บ้าง

ไคร่าหยุดพักเมื่อเธอเห็นกลุ่มทหารฝึกซ้อมกับหอกเสร็จแล้ว พวกเขาลงจากม้าและล้อมกันอยู่ตรงกลาง คนรับใช้ของพวกเขารีบเข้ามาและยื่นดาบไม้สำหรับการฝึก ดาบที่ทำมาจากไม้โอ๊คหนา น้ำหนักเกือบเท่าเหล็ก ไคร่าคอยมองจากด้านนอก หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น เมื่อเหล่าทหารเตรียมพร้อมต่อสู้ เธอต้องการเข้าร่วมกับพวกเขาอย่างที่สุด

ก่อนที่จะเริ่มต้น เอนวินก้าวมาตรงกลางและมองหน้าพวกเขาทั้งหมด

“ในวันหยุดนี้ เราฝึกเพื่อรางวัลพิเศษ” เขาประกาศ “ผู้ชนะจะได้เลือกส่วนแบ่งอาหารในงานฉลอง!”

เสียงโห่ร้องอย่างตื่นเต้นตามมา พวกเขาเข้าปะทะซึ่งกันและกัน เสียงดาบไม้กระทบดังไปทั่วสนาม พวกเขาต่อสู้กันจนหลังติดกำแพงป้อม

การฝึกซ้อมถูกคั่นจังหวะด้วยเสียงแตร ที่ส่งเสียงขึ้นทุกครั้งเมื่อนักสู้ถูกตีเข้าเป้า และบีบอีกฝ่ายออกไปข้างสนาม เสียงแตรดังบ่อยขึ้นจนคนที่เหลืออยู่เริ่มน้อยลง พวกเขายืนดูและเฝ้ามองข้างสนาม

ไคร่ายืนอยู่ข้างพวกเขา เธออยากเข้าร่วม แม้ว่าเธอจะไม่ได้รับอนุญาต วันนี้เป็นวันเกิดครบรอบอายุสิบห้าปีของเธอ เธอรู้สึกว่าเธอพร้อมแล้ว เธอรู้สึกว่ามันคือเวลาที่เธอจะแสดงตัว

“ให้ข้าเข้าร่วมด้วยนะ!” เธออ้อนวอนเอนวินที่กำลังยืนดูอยู่ใกล้ ๆ

เอนวินส่ายหัวโดยไม่ละสายตาจากการประลอง

“วันนี้ข้าอายุครบสิบห้าปี!” เธอยืนกราน “ให้ข้าต่อสู้เถอะ!”

เขาจ้องมองมาที่เธออย่างสงสัย

“นี่มันสถานที่ฝึกสำหรับผู้ชาย” เสียงแทรกจากมัลเทรน เขายืนอยู่ด้านข้างหลังจากพ่ายแพ้ “ไม่ใช่สถานที่สำหรับเด็กสาว เจ้าสามารถนั่งดูกับพวกคนรับใช้ และเอาน้ำมาให้เราถ้าเราต้องการ”

ไคร่าหน้าแดงก่ำ

“เจ้ากลัวว่าเด็กผู้หญิงจะล้มเจ้างั้นหรือ?” เธอโต้ตอบ ยืนยันคำพูดของเธอ รู้สึกได้ถึงความโกรธ เธอคือลูกสาวของพ่อ เหนือสิ่งอื่นใดไม่มีใครสามารถพูดแบบนั้นกับเธอได้

ผู้ชายบางคนหัวเราะ และครั้งนี้มัลเทรนหน้าแดง

“เธอมีเหตุผล” ไวดาร์แทรกขึ้นมา “บางทีเราควรให้เธอเข้าร่วม ไม่มีอะไรจะเสียนี่ จริงไหม?”

“สู้ด้วยอะไรล่ะ?” มัลเทรนแย้ง

“ไม้เท้าของข้า!” ไคร่าตะโกนออกมา “กับดาบไม้ของเจ้า”

มัลเทรนหัวเราะ

“นั่นคงเหนื่อยเปล่า” เขาพูด

สายตาทั้งหมดจับจ้องเอนวิน เขายืนอยู่ที่นั่น กำลังตัดสินใจ

“ถ้าเจ้าเจ็บตัว พ่อของเจ้าจะฆ่าข้า” เขาพูด

“ข้าจะไม่ได้รับบาดเจ็บหรอก” เธอขอร้อง

เขายืนอยู่ที่นั่นราวกับเวลาหยุดนิ่ง และถอนหายใจออกมาในที่สุด

“ข้าไม่เห็นว่าจะมีอันตราย” เขาพูด “เมื่อไม่มีอะไรทำให้เจ้าเงียบได้ และตราบเท่าที่ชายเหล่านี้ไม่คัดค้าน” เขาเสริม พร้อมหันไปทางเหล่าทหาร

“ตกลง!” ทหารตะโกนออกมาเป็นเสียงเดียว ทั้งหมดเอาใจช่วยเธอ ไคร่ารักพวกเขามาก พวกเขาแสดงความชื่นชมต่อเธอ พวกเขาแสดงความรักในแบบที่มีต่อพ่อของเธอ เธอไม่มีเพื่อนมากนัก และพวกผู้ชายเหล่านี้มีความหมายต่อเธอมาก

มัลเทรนเยาะเย้ย

“งั้นก็ให้เด็กผู้หญิงมาทำอะไรโง่ ๆ ด้วยตัวเองแล้วกัน” เขาพูด “ความแข็งแกร่งจะสอนบทเรียนให้เธอในคราวเดียว”

เสียงแตรดังขึ้น ผู้ชายอีกคนออกจากวงล้อม ไคร่าวิ่งเข้ามา

ไคร่ารับรู้ได้ถึงสายตาทุกคู่ที่จับจ้องมองเธอในฐานะผู้ชาย เธอไม่ได้คาดหวังสิ่งนี้ เธอพบว่าตัวเธอเองกำลังเผชิญหน้าคู่ต่อสู้ ชายรูปร่างสูง อายุราวสามสิบ นักรบทรงพลังที่เธอรู้จักตั้งแต่พ่อของเธอเข้ารับตำแหน่ง จากการสังเกตเขา เธอรู้ว่าเขาเป็นนักต่อสู้ที่ดี แต่เขามั่นใจตัวเองเกินไป พุ่งตัวเข้าใส่ทุกครั้งที่เริ่มต้นสู้ ดูจะประมาทไปเล็กน้อย

เขาหันมาหาเอนวินอย่างหน้าบึ้ง

“นี่คิดจะหยามอะไรข้า?” เขาถาม “ข้าไม่สู้เด็กผู้หญิง”

“เจ้าหยามตัวเจ้าเองโดยการกลัวที่จะสู้กับข้า” ไคร่าตอบอย่างองอาจ “ข้ามีสองมือและสองขาเช่นเจ้า ถ้าเจ้าไม่สู้กับข้า เจ้าก็จงยอมรับความพ่ายแพ้”

เขากระพริบตาอย่างตกใจ และถลึงตาใส่

“เอางั้นก็ได้” เขาพูด “อย่าวิ่งหนีไปหาพ่อเจ้าหลังจากแพ้แล้วกัน”

 

เขาพุ่งตัวด้วยความรวดเร็ว อย่างที่เธอรู้ว่าเขาจะทำ เขายกดาบไม้ขึ้นสูงและตรงเข้ามา เล็งไปที่ไหล่เธอ มันคือการเคลื่อนไหวที่เธอคาดคิด เธอเห็นเขาทำแบบนี้หลายครั้งหลายครา การเคลื่อนไหวแขนของเขาที่ดูงุ่มง่าม ดาบไม้ของเขาทรงพลัง แต่มันหนักเกินไป และดูเก้งก้างเมื่อเทียบกับไม้เท้าของเธอ

ไคร่ามองท่วงท่าของเขาอย่างละเอียด รอจนกระทั่งวินาทีสุดท้าย เธอหลบตัวออก ปล่อยให้การโจมตีอันหนักหน่วงผ่านไปด้านข้าง ในการเคลื่อนไหวเดียวกัน เธอเหวี่ยงไม้เท้าออกไปรอบ ๆ และตีลงบนไหล่ของเขาด้านข้าง

เขาร้องโหยหวน เดินโซเซออกไปด้านข้าง เขายืนตะลึงอย่างรำคาญใจ จำต้องยอมรับต่อความพ่ายแพ้

“มีใครอีกไหม?” ไคร่าถาม ยิ้มกว้าง และมองไปยังกลุ่มทหาร

เหล่าทหารยิ้มอย่างภูมิใจในตัวเธอ ภูมิใจกับการเฝ้าดูเธอเติบโตจนถึงจุดนี้ ยกเว้นมัลเทรนที่กำลังคิ้วขมวดอยู่ข้างหลัง เขาดูราวกับว่ากำลังจะท้าทายเธอ ทันใดนั้นทหารอีกคนแสดงตัวออกมาด้วยสีหน้าจริงจัง ชายคนนี้ตัวเตี้ยและกว้างกว่า หนวดเคราสีแดงรุงรังและแววตาดุร้าย วิธีการถือดาบของเขาดูออกว่าเขาระวังตัวมากกว่าคู่ต่อสู้คนแรก เธอถือว่านั่นเป็นการยกย่อง ในที่สุดพวกเขาก็เริ่มเอาจริงกับเธอ

เขาพุ่งเข้ามา และไคร่าไม่เข้าใจว่าทำไม แต่ด้วยเหตุผลบางอย่าง การที่รู้ว่าต้องทำอะไรเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอ เหมือนสัญชาตญาณในตัวได้ตื่นขึ้นครอบงำเธอ เธอพบว่าตัวของเธอเบาและคล่องแคล่วขึ้น มากกว่าพวกผู้ชายเหล่านี้ พวกเขาทั้งหมดกำลังต่อสู้ด้วยพละกำลัง พร้อมดาบไม้ เกราะที่หนักและหนา พวกเขาคาดว่าคู่ต่อสู้จะท้าดวลและป้องกันการโจมตี ไคร่ารู้สึกมีความสุขกับการหลบหลีก และหลีกเลี่ยงที่จะต่อสู้ตามเงื่อนไขของพวกเขา พวกเขาสู้ด้วยกำลัง แต่เธอสู้ด้วยความเร็ว

ไม้เท้าของไคร่าเคลื่อนไหวอยู่ในมือเสมือนเป็นส่วนหนึ่งของร่างกายที่ยื่นออกมา เธอควงไม้เท้าอย่างรวดเร็ว จนคู่ต่อสู้ของเธอไม่ทันตอบโต้ เขายังอยู่ในระยะครึ่งทางของการเหวี่ยงดาบในขณะที่เธอยืนอยู่ข้างหลังของเขาเรียบร้อยแล้ว คู่ต่อสู้คนใหม่เล็งเป้ามาที่ช่วงอกของเธอ แต่เธอเพียงแค่หลบออกด้านข้าง เหวี่ยงไม้เท้าขึ้นแล้วตีไปที่ข้อมือของเขา ทำให้ดาบของเขาหลุดออกจากมือ จากนั้นเธอตวัดส่วนปลายของไม้เท้ากลับมาและฟาดลงไปที่หัวของเขา

เสียงแตรดังขึ้น คะแนนเป็นของเธอ เขามองมาที่เธอด้วยความตกใจ พลางกุมหน้าผากของเขา ดาบของเขาอยู่บนพื้น ไคร่าตรวจสอบผลงานของเธอ เธอยังคงยืนอยู่ รู้สึกตกใจกับตัวเองเล็กน้อย

ไคร่ากลายเป็นผู้ชนะ ตอนนี้เหล่าผู้ชายต่างไม่ลังเลที่จะต่อแถวเพื่อประลองทักษะของพวกเขากับเธอ

พายุหิมะพัดโหมอย่างหนักหน่วง สาดใส่คบไฟที่ถูกจุดไว้ในยามค่ำคืน ไคร่าดวลการต่อสู้กับผู้ชายคนแล้วคนเล่า พวกเขาไม่มีรอยยิ้มอีกแล้ว สีหน้าของพวกเขาทั้งหมดดูจริงจังอย่างเอาเป็นเอาตาย และรู้สึกหงุดหงิด ไม่มีใครสามารถแตะต้องเธอได้เลย แต่ละคนจบลงที่การพ่ายแพ้ ในการต่อสู้หนึ่ง เธอกระโดดข้ามหัวของเขาขณะที่เขากำลังแทงดาบเข้ามา เธอหมุนตัวและร่อนลงข้างหลังก่อนที่จะฟาดไม้ลงบนไหล่ของเขา ส่วนอีกคน เธอก้มลงและกลิ้งตัว สลับไม้เท้าในมือและโจมตีเข้าไปอย่างแม่นยำ อย่างไม่คาดคิด ด้วยมือซ้ายของเธอ การเคลื่อนไหวของเธอแต่ละท่านั้นแตกต่างกัน บ้างเป็นท่ากายกรรม บ้างเป็นท่านักดาบ ไม่มีใครคิดไว้ว่าเธอจะทำได้เช่นนี้ พวกเขาต่างเดินออกไปด้านข้างสนามอย่างอับอาย แต่ละคนรู้สึกตกตะลึงที่ต้องยอมรับความพ่ายแพ้

ในไม่ช้าก็เหลือเพียงพวกผู้ชายหยิบมือหนึ่ง ไคร่ายืนตรงกลางของวงล้อม หายใจเหนื่อยหอบ มองดูแต่ละทิศทางเพื่อหาคู่ต่อสู้คนถัดไป เอนวิน ไวดาร์และอัทฟาเอลมองเธอจากด้านข้าง ทั้งหมดมองมาด้วยรอยยิ้มทั่วใบหน้า มองดูอย่างชื่นชม ถ้าพ่อของเธอไม่สามารถมาที่นี่ อย่างน้อยก็ยังมีคนเหล่านี้ที่ภูมิใจในตัวเธอ

ไคร่าจัดการคู่ต่อสู้ได้อีกคนหนึ่ง ด้วยการโจมตีไปด้านหลังหัวเข่า เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง ในที่สุด เมื่อไม่มีใครเหลืออยู่แล้ว มัลเทรนก้าวเข้ามาในวงล้อม

“ไม้เด็กเล่น” เขาถ่มน้ำลายออกมา เดินตรงมาที่เธอ “เจ้าสามารถหมุนแท่งไม้ไปรอบตัวในการต่อสู้ นั่นจะไม่ส่งผลดีกับเจ้า เมื่อเจอกับดาบของจริง ไม้เท้าของเจ้าจะถูกตัดเป็นสองท่อน”

“งั้นหรือ แล้วยังไง?” เธอถามเสียงห้าว ไร้ความกลัว รู้สึกถึงเลือดของพ่อของเธอที่กำลังไหลเวียนอยู่ภายในตัว เธอรู้ว่าเธอต้องเผชิญหน้ากับการรังแกนี้มาตลอด โดยเฉพาะผู้ชายคนนี้ที่กำลังมองมาที่เธอ

“แล้วทำไมเจ้าไม่ลองดูล่ะ?” เธอยุแหย่

มัลเทรนกระพริบตากลับด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าจะได้รับคำตอบแบบนี้ จากนั้นเขาหรี่ตาลง

“ทำไม?” เขาตะโกนกลับมา “เจ้าจะได้วิ่งกลับไปหาพ่อเจ้างั้นรึ?”

“ข้าไม่ต้องการความคุ้มครองจากพ่อของข้า หรือใครก็ตามแต่” เธอตอบ “เรื่องนี้เกี่ยวข้องระหว่างเจ้าและข้า ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม”

มัลเทรนมองไปที่เอนวิน เขาดูไม่สบายใจอย่างเห็นได้ชัด เหมือนกับว่าเขาติดอยู่ในหลุมที่ไม่สามารถออกไปได้

เอนวินมองกลับมา รู้สึกกระวนกระใจพอ ๆ กัน

“ที่นี่เราทำการประลองด้วยดาบไม้” เขาตะโกนออกมา “ข้าจะไม่ยอมให้ใครได้รับบาดเจ็บภายใต้การดูแลของข้า…รวมถึงลูกสาวของผู้บังคับบัญชา”

แต่แล้วมัลเทรนกลับมีความคิดที่น่ากลัว

“เด็กน้อยต้องการอาวุธจริง” เขาพูด น้ำเสียงของเขาหนักแน่น “เราควรมอบให้เธอ บางทีเธอจะได้เรียนรู้บทเรียนสำหรับชีวิต”

โดยไม่รีรอ มัลเทรนเข้ามาในสนาม ดึงดาบจริงของเขาออกมาจากฝัก เสียงดาบเสียดสีดังสะท้อนออกไปในอากาศ ความตึงเครียดเริ่มปกคลุม ทั้งหมดต่างพากันเงียบ ไม่แน่ใจว่าต้องทำอย่างไร

ไคร่ากำลังเผชิญหน้ากับมัลเทรน รู้สึกว่าฝ่ามือของเธอเหงื่อออกทั้ง ๆ ที่อากาศหนาวเย็น และลมพัดแรง เธอรับรู้ได้ถึงหิมะที่กลายเป็นน้ำแข็งกำลังถูกบดละเอียดอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเธอ เธอบังคับให้ตัวเองเพ่งสมาธิ และจดจ่อ เธอรู้ว่านี่ไม่ใช่การประลองธรรมดา

มัลเทรนตะโกนออกมา พยายามข่มขู่เธอ เขาพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว ยกดาบของเขาขึ้นสูง มันส่องแสงกระทบกับคบไฟ เธอรู้ว่ามัลเทรนเป็นนักสู้ที่แตกต่างจากคนอื่น เขาคาดเดาได้ยาก น่าเคารพน้อยกว่า ชายผู้ต่อสู้เพื่อเอาชีวิตรอดมากกว่าชัยชนะ เธอต้องประหลาดใจเมื่อพบว่าเขาเหวี่ยงดาบมาอยู่ที่หน้าอกของเธอแล้ว

ไคร่าก้มตัวลง คมดาบผ่านตัวเธอไปแบบฉิวเฉียด

กลุ่มทหารต่างอ้าปากค้างอย่างตกตะลึง เอนวิน ไวดาร์และอัทฟาเอลก้าวมาข้างหน้า

“มัลเทรน!” เอนวินตะโกนออกมาอย่างเดือดดาล พร้อมที่จะเข้าไปหยุด

“ไม่!” ไคร่าตะโกนกลับมา พยายามเพ่งสมาธิไปที่มัลเทรน หายใจหอบเมื่อเขาพุ่งเข้ามาหาเธออีกครั้ง “ให้เราสู้!”

มัลเทรนหมุนตัวเข้ามาและเหวี่ยงดาบอีกครั้ง…ครั้งแล้วครั้งเล่า ในแต่ละครั้ง เธอเบี่ยงตัวออก ถอยออกไป หรือกระโดดข้ามดาบของเขา เขาแข็งแกร่งแต่ไม่ได้รวดเร็วเท่าเธอ

เขายกดาบขึ้นสูงและฟาดลงมาตรง ๆ หวังว่าเธอจะป้องกัน หวังที่จะฟันไม้เท้าของเธอออกเป็นสองท่อน

ไคร่าเห็นดาบพุ่งเข้ามา แต่เธอกลับหลบออกและเหวี่ยงไม้เท้าของเธอไปด้านข้าง ตีเข้าลงบนดาบด้านข้าง เพื่อสะท้อนกลับและปกป้องไม้เท้าของเธอ ในท่วงท่าเดียวกัน เธอใช้ความได้เปรียบของช่องว่าง หมุนตัวไปรอบ ๆ และแทงลงไปที่ช่องท้องของเขา

เขาอ้าปากค้าง ล้มลงคุกเข่า เสียงแตรดังขึ้น

ตามมาด้วยเสียงโห่ร้องดังสนั่น ผู้ชายทั้งหมดมองมาที่เธอด้วยความภูมิใจเมื่อเธอยืนอยู่เหนือมัลเทรน และเป็นผู้ชนะ

มัลเทรนมองดูเธอด้วยสายตาโกรธจัด แทนที่เขาจะยอมรับความพ่ายแพ้เช่นคนอื่น เขากลับพุ่งเข้ามาที่เธอ ยกดาบของเขาขึ้นมาและฟันลงไป

มันคือสิ่งที่ไคร่าไม่คาดคิด เธอคิดว่าเขาจะยอมรับความพ่ายแพ้อย่างสมเกียรติ เมื่อเขาพุ่งเข้ามา ไคร่ารู้ว่าเธอไม่สามารถขยับตัวได้มากนักเพราะรู้ตัวช้าเกินไป เธอจึงไม่สามารถหลบได้ทัน

ไคร่าก้มตัวลงบนพื้นแล้วม้วนตัวออกมา ในเวลาเดียวกัน เธอหมุนไม้เท้าของเธอและตีเข้าไปที่หลังหัวเข่าของมัลเทรน ลากไปตามขาด้านล่างของเขา

มัลเทรนล้มลงหงายท้องบนพื้นหิมะ ดาบของเขาลอยหลุดออกจากมือ ไคร่ากำลังยืนอยู่เหนือเขา เธอวางปลายไม้เท้าลงบนคอของเขาและผลักลงไป ในเวลาเดียวกัน เลโอกระโดดเข้ามาข้างเธอ และส่งเสียงขู่คำรามใกล้ใบหน้าของมัลเทรน ห่างเพียงแค่นิ้วเดียว หยดน้ำลายของมันหล่นลงไปบนแก้มของเขา กำลังรอคำสั่งเพื่อที่จะขย้ำ

มัลเทรนมองขึ้นมา มีเลือดอยู่บนริมฝีปากของเขา เขาตกตะลึงและยอมรับในที่สุด

“เจ้าทำให้คนของพ่อข้าเสียเกียรติ” ไคร่าโมโห เธอยังคงโกรธจัด “เจ้าคิดอย่างไรกับไม้เท้าอันน้อยของข้า?”

ความเงียบอันตึงเครียดปกคลุมไปทั่ว ในขณะที่เธอยังคงตรึงเขาไว้กับพื้น ใจหนึ่งเธอต้องการยกไม้เท้าขึ้นและฟาดลงใส่เขา หรือปล่อยให้เลโอจัดการ ไม่มีใครพยายามหยุดหรือช่วยเขาแน่นอน

เมื่อเขารู้ว่าไม่มีพวก มัลเทรนมองขึ้นมาด้วยความกลัวอย่างแท้จริง

“ไคร่า!”

จู่ ๆ เสียงอันหยาบกร้านก็ทำลายความเงียบ

สายตาทั้งหมดหันไปมอง พ่อของเธอปรากฏตัว เขารีบเข้ามายังวงล้อม เขาสวมเสื้อหนังขนสัตว์ ขนาบข้างด้วยทหารจำนวนหนึ่ง เขามองมาที่เธออย่างไม่เห็นด้วย

เขาหยุดห่างจากเธอไม่กี่ฟุต และจ้องมองมา เธอสามารถเดาได้ว่าเธอต้องโดนต่อว่า ในขณะที่ไคร่าและพ่อมองหน้ากัน มัลเทรนอาศัยจังหวะนี้หลบตัวและลนลานออกไป เธอสงสัยว่าทำไมพ่อไม่ต่อว่ามัลเทรนแทนเธอ นั่นทำให้เธอยิ่งโกรธ พ่อและลูกสาวต่างเผชิญหน้ากันด้วยความโกรธ เธอดื้อด้านเหมือนเช่นเขา ไม่มีใครยอมขยับตัว

ในที่สุด พ่อของเธอก็ไร้คำพูดใด ๆ เขาหันหลังกลับไปพร้อมกับเหล่าทหาร เดินทางกลับไปยังป้อมปราการ และรู้ว่าเธอจะต้องตามมา ความตึงเครียดสลายลงเมื่อทหารทุกคนเดินตามไป ไคร่าเดินไปอย่างไม่เต็มใจนัก เธอย่ำเท้าบนเส้นทางที่ปกคลุมด้วยหิมะ มองเห็นแสงไฟของป้อมปราการที่อยู่ไกล ๆ รู้ว่าเธอจะต้องถูกพ่อต่อว่า…แต่เธอไม่สนใจอีกแล้ว

ไม่ว่าพ่อจะยอมรับเธอหรือไม่ วันนี้เธอได้รับการยอมรับจากพวกทหาร สำหรับเธอนั่นคือสิ่งที่สำคัญที่สุด นับจากวันนี้ เธอรับรู้ได้ว่าทุกอย่างจะเปลี่ยนไป