bepul

กำเนิดราชันย์มังกร

Matn
0
Izohlar
O`qilgan deb belgilash
Shrift:Aa dan kamroqАа dan ortiq

บทที่สิบแปด

ไคร่ายืนอยู่ที่ริมหน้าต่างห้องของเธอ มองดูรุ่งอรุณเหนือชานเมืองที่กำลังจะมาถึงด้วยความคาดหวังและหวาดหวั่น ตลอดทั้งคืนเธอถูกคุกคามด้วยฝันร้าย เธอนอนคิดใคร่ครวญหลังจากได้ยินการสนทนาของพ่อ คำ ๆ นั้นยังคงดังก้องอยู่ในหัวของเธอ

เธอไม่มีสิทธิ์ที่จะรู้หรือว่าเธอคือใคร?

ตลอดค่ำคืนที่ยาวนาน เธอฝันถึงผู้หญิงที่มีใบหน้าอยู่ในเงามืด สวมผ้าคลุมหน้า ผู้หญิงที่เธอมั่นใจว่าคือมารดาของเธอ เอื้อมมือมาที่เธอครั้งแล้วครั้งเล่า และเธอก็สะดุ้งตื่นขึ้นบนเตียงโดยที่ไม่มีอะไร

ไคร่าไม่รู้อีกแล้วว่าอะไรคือความจริงและอะไรคือความฝัน อะไรคือเรื่องจริงและอะไรคือเรื่องโกหก พวกเขาเก็บซ่อนความลับอะไรไว้บ้าง? สิ่งที่พวกเขาไม่สามารถบอกเธอได้คืออะไร?

ไคร่าเอื้อมมือจับแก้มของเธอ บาดแผลยังคงเจ็บอยู่ เธอคิดถึงแม่ ตลอดชีวิตที่ผ่านมา ทุกคนต่างบอกว่าแม่ของเธอเสียชีวิตตอนที่ให้กำเนิดเธอ และเธอไม่มีเหตุผลใดที่จะไม่เชื่อ ไคร่ารู้สึกว่าเธอไม่เหมือนใครเลยในครอบครัวของเธอหรือป้อมปราการแห่งนี้ ยิ่งเธอคิดเกี่ยวกับมันมากเท่าไร เธอก็ยิ่งรับรู้ได้ว่าทุกคนมองดูเธอย่างประหลาด เหมือนกับว่าเธอไม่ใช่คนของที่นี่ แต่เธอไม่เคยสนใจ ไม่เคยคิดว่าพ่อของเธอจะโกหกเธอมาตลอด เก็บซ่อนความลับบางอย่างของเธอ แม่ของเธอยังมีชีวิตอยู่หรือ? ทำไมพวกเขาต้องปิดบังเธอ?

ไคร่ายืนอยู่ด้วยความรู้สึกหวั่นไหวภายในจิตใจ ประหลาดใจกับชีวิตที่เปลี่ยนแปลงอย่างพลิกผันในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา เธอรู้สึกเหมือนไฟกำลังแผดเผาเส้นเลืด มันเคลื่อนที่จากแก้มของเธอไปยังไหล่และลงไปที่ข้อมือของเธอ เธอรู้ว่าเธอไม่ใช่คนเดิมอีกต่อไปแล้ว เธอสามารถสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นของมังกรที่ไหลเวียนอยู่ในตัวของเธอ รบเร้าอยู่ภายใน เธอสงสัยว่ามันหมายถึงอะไร เธอจะเป็นเหมือนคนเดิมอีกหรือไม่?

ไคร่ามองดูผู้คนด้านล่าง คนหลายร้อยกำลังเร่งรีบแต่รุ่งเช้า เธอรู้สึกประหลาดใจกับท่าทีเหล่านั้น โดยปกติช่วงเช้าตรู่จะค่อนข้างเงียบ แต่ตอนนี้ทหารของลอร์ดกำลังมา เหมือนกับพายุที่กำลังก่อตัว ผู้คนของเธอต่างรู้ว่าจะต้องมีสงครามล้างแค้น บรรยากาศดูแตกต่างออกไปเช่นกัน ผู้คนของเธอที่มักจะยอมอ่อนข้ออย่างรวดเร็ว บัดนี้พวกเขากลับดูแข็งขืนขึ้นมา เธอรู้สึกตกใจที่เห็นพวกเขาเตรียมพร้อมสำหรับการสู้รบ ทหารของพ่อหลายสิบคนกำลังป้องกันฝั่งแม่น้ำทางตะวันตก เพิ่มจำนวนทหารยามเป็นสองเท่าที่ประตู ลดระดับกรงเหล็กลงมา เตรียมพร้อมเครื่องป้องกัน เสริมหน้าต่างและขุดคูเมือง ผู้ชายถูกเกณฑ์มาเพื่อทำงาน ลับคมอาวุธ เติมลูกธนู และเตรียมม้า ต่างรวมตัวกันในสวนอย่างตื่นตระหนก พวกเขากำลังเตรียมการ

ไคร่าแทบจะไม่เชื่อว่าเธอคือคนที่ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่นี้ เธอรู้สึกผิดและภาคภูมิใจในคราวเดียวกัน แต่เหนือสิ่งอื่นใด เธอรู้สึกกลัว ผู้คนของเธอ เธอรู้ดีว่าพวกเขาไม่สามารถรอดชีวิตจากการโจมตีโดยตรงของทหารของลอร์ด ซึ่งมีจักรวรรดิแพนดิเซียคอยหนุนหลังพวกเขาอยู่ พวกเขาสามารถลุกขึ้นต่อต้านได้ แต่เมื่อแพนดิเซียมาถึงด้วยกองกำลังทั้งหมด พวกเขาจะต้องตายอยู่ที่นี่อย่างแน่นอน

“ดีใจที่เห็นเจ้าลุกขึ้นมา” เสียงสดใสดังขึ้น

ไคร่าสะดุ้ง หันไปมอง ไม่คิดว่าจะมีคนอื่นที่ตื่นเช้าเช่นนี้ เธอรู้สึกโล่งใจที่เห็นเอนวินยืนอยู่ในทางเดิน พร้อมรอยยิ้มบนใบหน้าของเขา ตามมาด้วยไวดาร์ อัทฟาเอล และทหารของพ่อเธออีกหลายคน ยืนกันเป็นกลุ่มมองมาที่เธอ เธอสามารถรับรู้ได้ว่าครั้งนี้พวกเขามองเธอแตกต่างออกไป บางอย่างที่แตกต่างในแววตาของพวกเขา มันคือความเคารพ พวกเขาไม่ได้มองว่าเธอเป็นเพียงเด็กผู้หญิงอีกต่อไปแล้ว แต่ราวกับว่าเธอเป็นหนึ่งในพวกเขาอย่างเท่าเทียม

ท่าทีเหล่านั้นช่วยฟื้นฟูจิตใจของเธอ ทำให้เธอรู้สึกว่าเรื่องราวทั้งหมดนั้นคุ้มค่า ไม่มีสิ่งใดที่เธอเคยต้องการมากไปกว่าได้รับการยอมรับจากผู้ชายเหล่านี้

“เจ้าดีขึ้นแล้วใช่ไหม?” ไวดาร์ถาม

ไคร่าคิดเกี่ยวกับเรื่องนั้น เธอกำมือและแบมือออก ยืดแขนของเธอ เธอรู้สึกดีขึ้นแล้ว อันที่จริง เธอรู้สึกแข็งแรงมากกว่าเดิม เธอพยักหน้าตอบกลับพวกเขา เธอรับรู้ได้ว่าพวกเขามองมาที่เธอด้วยท่าทีอีกอย่าง มันคือความรู้สึกกลัว ราวกับว่าเธอได้ครอบครองพลังอะไรบางอย่างที่พวกเขาไม่รู้จักหรือไม่ไว้ใจ

“ข้ารู้สึกเหมือนเกิดใหม่” เธอตอบ

เอนวินยิ้มกว้าง

“ดี” เขาพูด “เจ้าจะต้องใช้มัน เราต้องการทุกคนเท่าที่เราจะหาได้”

เธอมองกลับไป รู้สึกประหลาดใจและตื่นเต้น

“ท่านกำลังเสนอโอกาสให้ข้าต่อสู้เคียงข้างท่านหรือ?” เธอถาม หัวใจของเธอพองโต ไม่มีข่าวไหนที่จะทำให้เธอตื่นเต้นได้มากกว่านี้อีกแล้ว

อัทฟาเอลยิ้มและก้าวมาข้างหน้า จับบ่าของเธอ

“เพียงแค่อย่าบอกพ่อของเจ้า” เขาพูด

เลโอก้าวไปข้างหน้า เลียมือของพวกเขา พวกเขาลูบหัวของมัน

“เรามีของขวัญเล็กน้อยให้เจ้า” ไวดาร์พูด

ไคร่ารู้สึกประหลาดใจ

“ของขวัญหรือ?” เธอถาม

“ถือว่ามันคือของขวัญต้อนรับกลับบ้าน” อัทฟาเอลพูด “เพียงแค่ของเล็กน้อยที่จะช่วยให้เจ้าลืมรอยแผล”

เขาก้าวหลบไปด้านข้าง คนอื่น ๆ ก็เช่นกัน ไคร่ารู้ทันทีว่าพวกเขากำลังเชิญให้เธอตามไป ไม่มีอะไรที่เธอต้องมากกว่านี้แล้ว เธอยิ้มตอบ รู้สึกถึงความสุขที่ไม่ได้สัมผัสมานาน

“สิ่งใดทำให้ข้าได้เข้าร่วมกับพวกท่านหรือ?” เธอถามด้วยรอยยิ้ม “การสังหารทหารของลอร์ดห้าคนหรือ?”

“สาม” อัทฟาเอลแก้คำพูด “เท่าที่ข้าจำได้ เลโอจัดการไปสองคน”

“ใช่” เอนวินพูด “นับรวมถึงการรอดชีวิตหลังจากเผชิญหน้ากับมังกรด้วยเช่นกัน”

*

ไคร่าเดินผ่านป้อมปราการไปพร้อมกับพวกเขา เลโออยู่เคียงข้างเธอ รองเท้าของพวกเขาย่ำไปบนหิมะ รับรู้ได้ถึงพลังที่อยู่รอบตัว ป้อมปราการกำลังวุ่นวาย เต็มไปด้วยจุดมุ่งหมายที่แน่วแน่ ดูมีชีวิตชีวาในยามรุ่งสางอย่างไม่น่าเชื่อ เธอเดินผ่านช่างไม้ ช่างรองเท้า คนทำอานม้า ช่างอิฐ ทุกคนกำลังทำงานฝีมืออย่างหนัก ขณะที่ผู้ชายนับไม่ถ้วนกำลังลับดาบและมีดกับหิน ในขณะที่เดินผ่านไป ไคร่ารู้สึกว่าผู้คนต่างหยุดและพากันจ้องมาที่เธอ พวกเขาทั้งหมดคงรู้ว่าทำไมทหารของลอร์ดกำลังมา เธอได้ทำอะไรลงไป เธอรู้สึกเป็นที่จับตา เธอกลัวว่าผู้คนของเธอจะเกลียดเธอ

แต่เธอต้องประหลาดใจเมื่อเห็นว่าพวกเขามองดูเธอด้วยท่าทีชื่นชม และยังมีอีกอย่าง บางทีอาจจะเป็นความกลัว พวกเขาคงรู้แล้วว่าเธอรอดชีวิตจากการเผชิญหน้ากับมังกร

ไคร่ามองขึ้นไปบนท้องฟ้า หวังว่าเธอจะเห็นธีออสที่หายบาดเจ็บแล้ว บินวนเวียนอยู่รอบเธอ แต่เมื่อเธอมองท้องฟ้า เธอกลับไม่เห็นสิ่งใด ธีออสอยู่ที่ไหน? เธอสงสัย มันรอดชีวิตหรือไม่? มันจะบินได้อีกครั้งไหม? มันกลับไปยังอีกฟากหนึ่งของโลกแล้วหรือ?

เมื่อพวกเขาเดินข้ามไปอีกฝั่งของป้อม ไคร่าเริ่มสงสัยว่าพวกเขากำลังพาเธอไปที่ไหน และของขวัญอะไรที่พวกเขาจะมอบให้กับเธอ

“เรากำลังไปที่ไหน?” เธอถามเอนวิน ขณะที่พวกเขาเดินลงไปยังซอกถนนหินขนาดเล็ก พวกเขาผ่านชาวบ้านที่กำลังขุดหิมะ แผ่นน้ำแข็งและหิมะไหลลงมาจากหลังคาที่ทำจากดิน ควันลอยขึ้นมาจากปล่องไฟทั่วทั้งหมู่บ้าน กลิ่นของมันทำให้สดชื่นในวันที่อากาศหนาว

พวกเขาเดินลงไปยังถนนอีกเส้น ไคร่าสังเกตเห็นบ้านรูปร่างกว้างเตี้ยถูกปกคลุมด้วยหิมะพร้อมประตูไม้โอ๊คสีแดง ตั้งอยู่แยกจากหลังอื่น ๆ เธอจดจำได้ในทันที

“นั่นโรงตีเหล็กใช่หรือไม่?” เธอถาม

“ใช่แล้ว” เอนวินตอบขณะเดินไป

“แต่ทำไมท่านถึงพาข้ามาที่นี่?” เธอถาม

พวกเขามาถึงประตู ไวดาร์ยิ้มในขณะที่เปิดประตูและก้าวเข้าไปข้างใน

“แล้วเจ้าจะรู้เอง”

ไคร่าก้มตัวผ่านประตูเตี้ย ๆ เข้าไปข้างในโรงหลอม เลโอและคนอื่น ๆ ตามเข้ามา ไอความร้อนระอุปะทะเข้ามา ไฟจากโรงหลอมทำให้ข้างในอบอุ่น เธอสังเกตเห็นอาวุธมากมายวางอยู่บนทั่งตีเหล็ก เธอมองดูอย่างชื่นชม ดาบและขวานยังอยู่ในขั้นตอนการผลิต บางอันยังเป็นเหล็กร้อนที่อยู่ในเบ้าหล่อ

ช่างตีเหล็กนั่งอยู่ที่นั่นพร้อมกับเด็กฝึกงานอีกสามคน ใบหน้าเปรอะเปื้อนไปด้วยเขม่า เขามองขึ้นมาผ่านเคราดำหนาและไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ที่นี่เต็มไปด้วยอาวุธวางอยู่ทั่วทุกที่ ทั้งบนพื้นและแขวนอยู่บนราว ดูเหมือนพวกเขาจะทำครั้งละมาก ๆ ในคราเดียวกัน ไคร่ารู้จักกับบรอท เขาเป็นช่างตีเหล็ก ผู้ชายรูปร่างเตี้ยกำยำ ขมวดคิ้วอยู่ตลอดเวลาเพื่อเพ่งสมาธิ คนที่นี่จริงจัง ไม่ค่อยพูดมากนัก พวกเขาใช้ชีวิตอยู่กับอาวุธ พวกเขาหยาบกระด้าง ไม่ค่อยสนใจคนอื่น นอกเสียจากชิ้นส่วนของโลหะ

ไคร่าเคยพูดกับบรอทไม่กี่ครั้ง ภายใต้ท่าทางภายนอกที่หยาบคายพิสูจน์ให้เห็นว่าเขาเป็นคนใจดี เธอชอบคุยกับเขาเรื่องอาวุธ

“ไคร่า” เขาพูดขึ้น ดูเหมือนเขาจะรู้สึกยินดีที่เห็นเธอ “นั่งสิ”

เธอนั่งลงบนม้านั่งตรงข้ามกับเขา เธอหันหลังให้เตาหลอม สัมผัสได้ถึงความร้อนของมัน เอนวินและคนอื่น ๆ ล้อมรอบพวกเขา ทั้งหมดจ้องมองในขณะที่บรอทซ่อมแซมอาวุธ หอก เคียว ตะบอง การผลิตยังรอการลงค้อน ไคร่ามองเห็นดาบ คมดาบยังหยาบอยู่ กำลังรอการลับคม เบื้องหลังของเขา บรรดาลูกน้องกำลังง่วนอยู่กับการทำงาน เสียงเครื่องมือของพวกเขาดังไปทั่ว คนหนึ่งเอาค้อนทุบไปที่ขวาน ประกายไฟกระจายไปทุกที่ ขณะที่คนอื่น ๆ เอื้อมมือใช้คีมยาวและดึงเหล็กร้อนสีขาวออกมาจากเตาหลอม วางลงบนทั่งตีเหล็กและเตรียมพร้อมที่จะทุบด้วยค้อน คนที่สามใช้คีมหยิบทวนออกมาจากทั่งและวางลงในอ่างเหล็กขนาดใหญ่ เสียงน้ำเดือดส่งดังเมื่อมันจมลงไปใต้น้ำ ก่อให้เกิดไอความร้อนลอยขึ้นมา

สำหรับไคร่า โรงหลอมนี้เป็นสถานที่ที่น่าตื่นเต้นที่สุดในโวลิสเสมอ

ขณะที่เธอมองดูพวกเขา หัวใจของเธอเต้นเร็วขึ้น สงสัยว่าของขวัญอะไรที่พวกผู้ชายเหล่านี้จะมอบให้

“ข้าได้ยินถึงความสำเร็จของเจ้า” บรอทพูดโดยไม่สบตาเธอ เขาก้มดูดาบยาวในมือ กำลังทดสอบน้ำหนัก มันคือหนึ่งในดาบที่ยาวที่สุดเท่าที่เธอเคยเห็น เขาคิ้วขมวดและหรี่ตาลง ดูไม่ค่อยพอใจนัก

เธอรู้ดีว่าไม่ควรขัดจังหวะเขา เธอรอเพื่อให้เขาพูดต่อ

“น่าละอาย” ในที่สุดเขาก็พูด

ไคร่าจ้องกลับไป รู้สึกสับสน

“อะไรนะ?” เธอถาม

“ที่เจ้าไม่ฆ่าเด็กผู้ชายนั่นซะ” เขาพูด “เราจะไม่ต้องมาตกระกำลำบากแบบนี้ ถ้าเจ้าฆ่าเด็กนั่น ว่าไหม?”

เขายังคงชั่งน้ำหนักดาบต่อไปโดยไม่สบตาเธอ เธอหน้าแดง รู้ว่าเขาพูดถูก แต่เธอไม่เสียใจที่ได้ทำลงไป

“บทเรียนสำหรับเจ้า” เขาพูดต่อ “จงฆ่าพวกมันให้หมด เจ้าเข้าใจข้าไหม?” เขาถาม น้ำเสียงของเขาหนักแน่น ในขณะที่เขามองขึ้นมาและสบตาเธอ ดูจริงจัง “ฆ่าพวกมันให้หมด

นอกจากน้ำเสียงที่หยาบกร้านและแข็งทื่อของเขา ไคร่าชื่นชมบรอทที่มักจะพูดในสิ่งที่เขาเชื่อเสมอ สิ่งที่คนอื่นไม่กล้าพูด เธอยังชื่นชมการไร้ซึ่งความกลัวของเขา การครอบครองอาวุธโลหะถือเป็นสิ่งผิดกฎหมายของแพนดิเซีย โทษคือความตาย มีเพียงอาวุธของทหารของพ่อเท่านั้นที่ได้รับการอนุญาต เพราะพวกเขาเป็นผู้ดูแลรักษากำแพงอัคคี แต่บรอทยังทำผิดกฎหมายในการตีอาวุธ เขาช่วยเหลือกองทัพลับ ซึ่งเขาสามารถถูกจับและถูกสังหารได้ทุกเมื่อ แต่เขาไม่เคยถอยหนีต่อการปฏิบัติหน้าที่

“นี่คือเหตุผลที่ท่านเรียกข้ามาหรือ?” เธอถามอย่างสับสน “เพื่อให้คำแนะนำในการฆ่าคนหรือ?”

เขาทุบค้อนลงไปที่ดาบที่อยู่บนทั่งตีเหล็กเบื้องหน้า เขายังคงทำงานต่อไป ไม่สนใจเธอจนกว่าเขาจะพร้อม เขามองลงไปและพูดต่อ

“ไม่ใช่ เพื่อช่วยเจ้าฆ่าพวกมัน”

เธอกระพริบตาอย่างงุนงง บรอทหันหลังไปชี้นิ้วสั่งหนึ่งในลูกน้องของเขา ซึ่งรีบวิ่งเข้ามาและยื่นวัตถุบางอย่างให้

บรอทมองมาที่เธอ

“ข้าได้ยินมาว่าเจ้าเสียอาวุธทั้งสองอย่างของเจ้าไปเมื่อคืนก่อน” เขาพูด “ธนูและไม้เท้า ใช่ไหม?”

เธอพยักหน้า สงสัยว่าเขาจะพูดอะไรต่อ

บรอทส่ายหัวของเขาอย่างผิดหวัง

“นั่นเพราะเจ้าเล่นกับไม้ อาวุธของเด็ก เจ้าฆ่าทหารของลอร์ดไปห้าคน เผชิญหน้ากับมังกรและยังมีชีวิตรอด สิ่งนั้นเหนือกว่าใครทั้งหมดในห้องนี้ เจ้าเป็นนักรบแล้ว เจ้าสมควรได้รับอาวุธของนักรบ”

 

เขาเอื้อมมือไปข้างหลัง หนึ่งในลูกน้องของเขายื่นบางอย่างให้ จากนั้นเขาหันกลับมา วางวัตถุยาวที่คลุมด้วยผ้าสีม่วงแดงลงบนโต๊ะ

เธอมองดูด้วยท่าทีสงสัย หัวใจของเธอเต้นรัวพร้อมความคาดหวัง เขาพยักหน้ากลับมา

ไคร่าค่อย ๆ เอื้อมมือออกไป เปิดผ้าคลุมออก เธออ้าปากค้างกับสิ่งที่เห็น เบื้องหน้าของเธอคือธนูยาวอันงดงาม แท่นจับของมันได้รับการแกะสลัก ขัดเงา ประดับด้วยโลหะส่องประกายบางเท่ากระดาษ มันไม่เหมือนธนูใด ๆ ที่เธอเคยเห็นมาก่อน

“เหล็กอัลเคน” เขาอธิบายในขณะที่เธอยกธนูขึ้นมาชื่นชม “เหล็กที่แข็งแกร่งที่สุดในโลกและมีน้ำหนักเบาที่สุด หายากมาก เหล็กนี้ใช้โดยพระราชา พวกเขาเป็นคนจ่ายเพื่อให้ได้มา และคนของข้าโหมทำมันทั้งคืน”

ไคร่าหันไปมองเอนวินและคนอื่น ๆ พวกเขากำลังยิ้ม หัวใจของเธอเต็มไปด้วยความยินดี

“ลองดูสิ” บรอทพูด “เอาเลย”

ไคร่าถือธนูและลองชั่งน้ำหนักในมือ ช่างน่าทึ่งที่ธนูเข้ากับมือของเธอได้อย่างพอดี

“มันเบากว่าไม้ของข้าเสียอีก” เธอพูด

“นั่นคือรากไม้บีแชม” เขาพูด “มันแข็งแกร่งกว่าที่เจ้าเคยมี และเบากว่าเช่นกัน ธนูคันนี้จะไม่มีวันหัก ลูกศรของของมันจะไปได้ไกลกว่า”

เธอชื่นชมโดยไร้คำพูดใด ๆ นี่คือสิ่งที่ดีที่สุดที่เคยมีใครทำเพื่อเธอ บรอทยื่นมือออกมา และมอบกระบอกธนูที่เต็มไปด้วยลูกธนู หัวธนูทั้งหมดใหม่เอี่ยม เมื่อเธอเอานิ้วไปแตะ เธอต้องประหลาดใจกับความคมของมัน เธอมองดูการออกแบบที่ละเอียด

“ลูกธนูหัวหนาม” บรอทพูดอย่างภูมิใจ “เมื่อเจ้ายิงไปยังเป้าหมาย หัวของมันจะไม่สามารถดึงออกได้ มันออกแบบมาเพื่อสังหาร”

ไคร่าเงยหน้ามองบรอทและคนอื่น ๆ อย่างตื้นตันใจ ความรู้สึกนี้ช่างเอ่อล้น สิ่งที่มีความหมายสำหรับเธอมากที่สุดไม่ใช่อาวุธ แต่เป็นผู้ชายที่ยอดเยี่ยมเหล่านี้

“ข้าไม่รู้ว่าจะขอบคุณพวกท่านอย่างไร” เธอพูด “ข้าจะทำให้ดีที่สุดเพื่อสรรเสริญผลงานของท่าน เพื่อให้คู่ควรกับอาวุธนี้”

“ข้ายังไม่เสร็จเรื่อง” เขาพูดห้วน ๆ “เอาแขนของเจ้าออกมา”

เธอยื่นแขนออกมา รู้สึกสงสัย เขาก้าวมาข้างหน้า พับแขนของเธอ และตรวจสอบหน้าแขน สุดท้ายเขาพยักหน้าอย่างพอใจ

“พอดีเลย” เขาพูด

บรอทพยักหน้ากับลูกน้อง เขาก้าวมาข้างหน้าถือวัตถุมันเงาสองอันและประกบเข้ากับปลายแขนของเธอ โลหะเนื้อเย็นสัมผัสเข้ากับผิวของเธอ ไคร่าตกใจที่เห็นว่ามันคือปลอกแขนป้องกัน ปลอกแขนยาวบาง ปกป้องตั้งแต่ข้อมือไปจนถึงข้อศอก มันพอดีกับแขนของเธออย่างสมบูรณ์แบบ

ไคร่างอข้อศอกของเธอด้วยความประหลาดใจ เธอตรวจสอบปลอกแขน รู้สึกถึงความไร้เทียมทาน ราวกับว่ามันเป็นส่วนหนึ่งกับผิวหนังของเธอ มันแข็งแรงและมีน้ำหนักเบามาก

“ปลอกแขน” บรอทพูด “บางพอที่จะทำให้เจ้าเคลื่อนไหวได้สะดวก และยังแข็งแรงเพียงพอที่จะต้านทานการโจมตีของดาบ” เขามองมาที่เธอ “นี่ไม่ใช่เพียงเพื่อป้องกันสายธนูในขณะยิงเท่านั้น มันมีความยาวเป็นพิเศษ ทำมาจากเหล็กอัลเคน สิ่งนี้จะเป็นโล่ของเจ้า หากมีศัตรูประชิดตัวเจ้าด้วยดาบ ตอนนี้เจ้าสามารถป้องกันตัวเองได้แล้ว”

ทันใดนั้น เขาหยิบดาบออกมาจากโต๊ะ และฟันลงมาที่ศีรษะของเธอ

ไคร่าตกใจ เธอตอบสนองทันทีด้วยการยกแขนที่มีปลอกแขนใหม่ เธอทึ่งที่มันสามารถหยุดการโจมตีได้ ประกายไฟส่องแสงออกมา

บรอทยิ้ม เขาลดดาบลงอย่างพอใจ

ไคร่ามองดูปลอกแขนของเธอ สึกเอ่อล้นไปด้วยความสุข

“ท่านให้ของทั้งหมดที่ข้าเคยต้องการ” ไคร่าพูด พร้อมที่จะโอบกอดพวกเขา

แต่บรอทยกมือขึ้นหยุดเธอ

“ยังไม่ใช่ทั้งหมด” เขาพูด

บรอทชี้นิ้ว ลูกน้องของเขานำวัตถุยาวที่ห่ออยู่ในผ้าสีดำมาให้

ไคร่ามองอย่างสงสัย เธอแขวนธนูไว้บนไหล่ เอื้อมมือออกไปสัมผัส ดึงผ้าออกอย่างช้า ๆ เธอแทบจะลืมหายใจเมื่อเห็นสิ่งที่อยู่ข้างใน

มันคือไม้เท้า ผลงานที่งดงาม ยาวกว่าอันเก่าของเธอ ที่น่าทึ่งที่สุดคือมันส่องประกายเหมือนธนู ไม้เท้าถูกห่อหุ้มด้วยแผ่นเหล็กอัลเคน บางเหมือนกระดาษ มันส่องแสงสะท้อนออกมา แม้ว่าจะเป็นโลหะ แต่น้ำหนักของมันเบามาก เบากว่าไม้เท้าเดิมของเธอหลายเท่า

“ครั้งหน้า” บรอทพูด “เมื่อพวกมันฟาดฟันใส่ไม้เท้าของเจ้า มันจะไม่หัก เมื่อเจ้าใช้ในการโจมตีศัตรู มันจะทวีความรุนแรงยิ่งขึ้น มันคืออาวุธและโล่ในหนึ่งเดียว และนั่นยังไม่หมด” เขาพูด พลางชี้ไปที่ไม้เท้า

ไคร่ามองดูด้วยความงุนงง ไม่เข้าใจว่าเขาชี้อะไร

“บิดมัน” เขาพูด

เธอบิดไม้เท้า และตกตะลึงที่ไม้เท้าของเธอแยกออกจากกันเป็นสองท่อนเท่ากัน ปลายทั้งสองด้านฝังคมดาบแหลมยาวหลายนิ้ว

เธอมองดูอ้าปากกว้าง บรอทยิ้มออกมา

“ตอนนี้เจ้ามีวิธีมากมายที่จะฆ่าคน” เขาพูด

เธอมองดูคมดาบที่ส่องประกาย ผลงานสุดประณีตเท่าที่เธอเคยเห็น เธอกำลังตกตะลึง เขาทำตีอาวุธนี้ขึ้นมาเพื่อเธอ ไม้เท้าที่สามารถแยกเป็นหอกสั้นสองอัน อาวุธที่เหมาะกับความแข็งแกร่งของเธอ เธอบิดอีกครั้งเพื่อล็อกมันกลับเข้าที่อย่างนุ่มนวล ไร้ซึ่งรอยต่อใด ๆ ไม่สามารถมองเห็นได้ว่ามีอาวุธซ่อนอยู่ภายใน

เธอน้ำตาคลอเบ้า มองไปที่บรอทและทุกคน

“ข้าไม่รู้จะแสดงความขอบคุณพวกท่านอย่างไร” เธอพูด

“เจ้าได้ทำแล้ว” เอนวินพูด พร้อมก้าวมาข้างหน้า “เจ้าได้นำสงครามมาหาพวกเรา สงครามที่พวกเราไม่กล้าเริ่มต้นด้วยตัวของพวกเราเอง เจ้าได้ตอบแทนพวกเราแล้ว”

ก่อนที่เธอจะทันคิดตามคำพูดของเขา ทันใดนั้นเอง เสียงแตรนับสิบดังกึกก้องมาแต่ไกล เสียงอึกทึกดังขึ้นอย่างต่อเนื่อง สะท้อนไปทั่วป้อมปราการ

พวกเขาต่างมองหน้ากัน ทุกคนรู้ว่ามันหมายถึงอะไร การต่อสู้ได้มาถึงแล้ว

ทหารของลอร์ดมาถึงที่นี่แล้ว

บทที่สิบเก้า

เมิร์คเดินขึ้นไปเรื่อย ๆ ตามเส้นทางในป่า เงาของเขาทอดยาวออกไปในขณะที่เขาเดินฟันกิ่งไม้กรุยทางสู่ป่าไวท์วู้ด พวกโจรที่ล้มตายกลายเป็นเรื่องราวดี ๆ ที่อยู่เบื้องหลัง เขาไม่หยุดเดินเลยนับตั้งแต่นั้น พยายามลบล้างจิตใจจากเรื่องราวที่เกิดขึ้น เพื่อกลับไปยังสถานที่อันเงียบสงบซึ่งครั้งหนึ่งเขาเคยอาศัยอยู่ มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ขาของเขาเริ่มอ่อนล้า เมิร์คดูกระวนกระวายกับการค้นหาหอคอยเยอร์มากขึ้น เขาต้องการที่จะก้าวสู่ชีวิตใหม่ในฐานะผู้เฝ้ามอง เขาพยายามเหลียวดูรอบตัว เพื่อมองหาเส้นขอบฟ้าที่ลอดผ่านช่องว่างระหว่างต้นไม้

แต่ก็ไร้วี่แวว การเดินทางครั้งนี้เริ่มต้นด้วยความรู้สึกเหมือนการแสวงบุญ การเดินทางที่ไม่สิ้นสุด หอคอยเยอร์อยู่ไกลออกไป ถูกเก็บซ่อนไว้อย่างดี มากกว่าที่เขาเคยจินตนาการ

การเผชิญหน้ากับโจรเหล่านั้นได้ปลุกบางสิ่งที่อยู่ลึกลงไปในตัวของเขา ทำให้เมิร์ครู้ว่าการสลัดตัวตนเดิมของเขาออกไปนั้นยากเพียงใด เขาไม่รู้ว่าเขาจะมีกฎระเบียบหรือไม่ เขาเพียงหวังว่าผู้เฝ้ามองจะยอมรับเขา แต่ถ้าไม่ เขาก็ไม่มีที่ไหนให้ไป เขาจะกลับไปเป็นคนที่ครั้งหนึ่งเขาเคยเป็น

เมิร์คมองเห็นป่าข้างหน้าเปลี่ยนไป ดงต้นไม้ใหญ่โบราณสีขาว ลำต้นกว้างเท่ากับคนสิบคน สูงเสียดฟ้า กิ่งก้านของมันแผ่ขยายออกไปเหมือนหลังคา พร้อมใบไม้สีแดงส่องแสงระยิบระยับ หนึ่งในต้นไม้เหล่านี้มีลำต้นโค้งกว้างขวาง ดูเหมือนกำลังเชิญชวนเขา เมิร์ครู้สึกปวดเท้า เขานั่งลงข้าง ๆ เอนหลังพิง รู้สึกผ่อนคลายขึ้นมาทันที ความเจ็บปวดที่หลังและขาของเขาจากการเดินทางกำลังบรรเทา เขาถอดรองเท้าบูทออก ถอนหายใจอย่างโล่งอก อากาศเย็นทำให้เขาสดชื่น ใบไม้เอนไหวไปมาอยู่เบื้องบน

เมิร์คเอื้อมไปในย่ามของเขา หยิบของที่เหลือออกมา เนื้อกระต่ายแห้งที่เขาจับได้ในคืนก่อน เขากัดมันและเคี้ยวอย่างช้า ๆ หลับตาลง พักผ่อนร่างกาย สงสัยว่าเบื้องหน้ามีสิ่งใดรอเขาอยู่ การนั่งพิงต้นไม้นี้ การฟังเสียงใบไม้ที่กระทบกันไปมา ช่างทำให้เขารู้สึกดี

เปลือกตาของเมิร์คหนักเรื่อย ๆ เขาปล่อยให้มันปิดลง เขาต้องการพักเพียงแค่ชั่วครู่

เมื่อลืมตาขึ้น เมิร์คก็ต้องประหลาดใจที่เห็นท้องฟ้าเริ่มมืดแล้ว เขาเผลอหลับไป ตอนนี้จวนจะค่ำแล้ว และเขารู้เขาอาจจะหลับไปทั้งคืน ถ้าไม่มีเสียงอะไรมาปลุกเขา

เมิร์คลุกขึ้นนั่ง มองดูโดยรอบทันที เขาระวังตัวด้วยสัญชาตญาณ เขาจับด้ามของมีดสั้นที่ซ่อนอยู่ในข้อมือของเขาและเฝ้ารอ เขาไม่ต้องการใช้ความรุนแรง แต่กว่าจะถึงหอคอย เขาเริ่มรู้สึกว่าอะไร ๆ ก็เป็นไปได้

เสียงเคลื่อนไหวเริ่มดังขึ้นเรื่อย ๆ เหมือนใครบางคนกำลังวิ่งอย่างรวดเร็วมาจากป่า เมิร์คสงสัยว่าใครมาทำอะไรที่นี่ ท่ามกลางป่าที่ไหนสักแห่ง ตอนใกล้มืดนี้หรือ? ฟังจากเสียงของใบไม้ เมิร์คสามารถบอกได้ว่ามีแค่คนเดียว น้ำหนักเบา บางทีอาจเป็นเด็กหรือเด็กผู้หญิง

ชั่วครู่มีเด็กผู้หญิงวิ่งออกมาจากป่า วิ่งไปพลางร้องไห้ไปพลาง เขามองดูเธออย่างประหลาดใจ เธอวิ่งไปตามลำพัง สะดุดล้มลงห่างจากเขาออกไปเพียงไม่กี่ฟุต เธอล้มหน้าคว่ำลงไปในดิน เธอหน้าตาสะสวย อายุประมาณสิบแปดปี แต่ดูกระเซอะกระเซิง ผมของเธอยุ่งเหยิงเต็มไปด้วยดินและใบไม้ เสื้อผ้าของเธอขาดรุ่งริ่ง

เมิร์คยืนขึ้น ในขณะที่เธอตะเกียกตะกายและหันมาเจอเขา ดวงตาของเธอเปิดกว้างด้วยความตื่นตระหนก

“ได้โปรดอย่าทำร้ายข้า!” เธอร้องตะโกน ยืนขึ้น และถอยหลังออกไป

เมิร์คยกมือของเขาขึ้นมา

“ข้าไม่คิดทำอันตรายเจ้า” เขาพูดช้า ๆ ยืนขึ้นตัวตรง “อันที่จริง ข้ากำลังจะไปตามทางของข้า”

เธอถอยหลังไปหลายฟุตด้วยความหวาดกลัวและยังคงร้องไห้ เขาอดสงสัยไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ไม่ว่ามันจะเป็นอะไรก็ตาม เขาไม่ต้องการเข้าไปยุ่งเกี่ยว เขามีปัญหาของตัวเองมากเพียงพอแล้ว

เมิร์คหันหลัง และเริ่มเดินจากไป เสียงร้องตะโกนของเธอดังตามมา

“ไม่ เดี๋ยวก่อน!”

เขาหันไป มองเห็นเธอยืนอยู่ตรงนั้นอย่างสิ้นหวัง

“ได้โปรด ข้าต้องการความช่วยเหลือจากท่าน” เธออ้อนวอน

เมิร์คมองดูเธอ และพบว่าเธองดงามมากเพียงใดภายใต้รูปลักษณ์ที่พะรุงพะรัง เธอมีผมสีบลอนด์ ดวงตาสีฟ้าอ่อน และใบหน้าที่ได้รูปอย่างสมบูรณ์แบบ หน้าของเธอเต็มไปด้วยน้ำตาและคราบดิน เธอสวมใส่เสื้อผ้าของชาวนา เขาสามารถบอกได้ว่าเธอไม่ใช่คนรวย ดูเหมือนว่าเธอวิ่งมาเป็นเวลานานแล้ว

เขาส่ายหัว

“เจ้าไม่มีเงินมาจ่ายข้า” เมิร์คพูด “ข้าช่วยเจ้าไม่ได้ ไม่ว่าเจ้าต้องการอะไรก็ตาม นอกจากนี้ ข้ากำลังอยู่ในระหว่างภารกิจของข้า”

“ท่านไม่เข้าใจ” เธอขอร้อง พร้อมก้าวเข้ามาใกล้ “ครอบครัวของข้า บ้านของพวกเราถูกปล้นเมื่อเช้านี้ พวกทหารรับจ้าง พ่อของข้าบาดเจ็บ เขาไล่พวกมันไป แต่พวกมันกลับมาพร้อมจำนวนคนมากกว่าเดิม เพื่อฆ่าเขา เพื่อฆ่าครอบครัวของข้าทั้งหมด พวกมันบอกว่าจะเผานาของเรา ได้โปรด!” เธอขอร้องและก้าวเข้ามาใกล้มากขึ้น “ข้าจะให้อะไรก็ตามที่ท่านต้องการ ทุกอย่าง!

เมิร์คยืนนิ่ง รู้สึกเสียใจกับเธอ แต่เขาตั้งใจแล้วว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยว

“แม่นาง ในโลกนี้มีปัญหามากมาย” เขาพูด “และข้าไม่สามารถแก้ไขได้ทั้งหมด”

เขาหันหลังกลับเพื่อที่จะเดินจากไป แต่เสียงของเธอดังขึ้นอีกครั้ง

“ได้โปรดเถอะ!” เธอร้องไห้ “มันคือสัญญาณ ท่านไม่เห็นหรือ? ข้าวิ่งมาพบท่านที่นี่ ส่วนไหนของป่าก็ไม่รู้ ข้าไม่คิดว่าจะเจอใคร แต่ข้ามาเจอท่าน ท่านอยู่ที่นี่มันจะต้องมีความหมาย พระเจ้าให้โอกาสท่านในการไถ่บาป เพื่อช่วยเหลือข้า ท่านไม่เชื่อสัญญาณนี้หรือ?”

เขายืนนิ่ง มองดูเธอร้องไห้ เขารู้สึกผิด แต่ปล่อยวางเกือบหมดแล้ว เขาคิดว่าคนจำนวนเท่าไรที่เขาเคยฆ่าในชีวิตของเขา และเขาสงสัยว่าจะมีอีกเท่าไร? ดูเหมือนมันจะมีต่อไป ไม่มีทางจบสิ้น เขาต้องขีดเส้นขั้นเอาไว้ที่ไหนสักแห่ง

“ข้อขอโทษด้วยแม่นาง” เขาพูด “แต่ข้าไม่ใช่ผู้ไถ่บาปของท่าน”

เมิร์คหันหลังไปอีกครั้งและเริ่มเดิน ตั้งใจว่าครั้งนี้จะไม่หยุด เสียงร้องไห้และความโศกเศร้าค่อย ๆ เงียบหายไปกับเสียงของใบไม้ที่ถูกเหยียบย่ำอยู่ใต้ฝ่าเท้าของเขา

แต่ไม่ว่าเขาจะย่ำลงบนใบไม้รุนแรงแค่ไหน เสียงร้องไห้ของเธอก็ยังคงดังต่อไป ดังขึ้นจากที่ไหนสักแห่งข้างหลัง เธอร้องเรียกเขา เขาหันไปมอง เธอวิ่งออกไป หายเข้าไปในป่า เขาอยากรู้สึกโล่งใจ แต่ไม่สามารถทำได้ เขายังคงรู้สึกหลอกหลอน เสียงร้องไห้ที่เขาไม่ต้องการได้ยินดังก้องอยู่ในหูของเขา

เขาสบถในขณะที่เดินต่อไปด้วยความรู้สึกเดือดดาล หวังว่าเขาจะไม่พบเธออีก ทำไม? เขาสงสัย ทำไมต้องเป็นเขา?

มันคอยตามรังควาน ไม่ยอมปล่อยเขาไป เขาเกลียดความรู้สึกที่เผชิญอยู่ตอนนี้ สิ่งนี้คืออะไร เขาสงสัย ความเกรงกลัวต่อบาปหรือ?

บทที่ยี่สิบ

หัวใจของไคร่าเต้นรัวในขณะที่เดินไปพร้อมกับพ่อและบรรดาพี่น้องของเธอ เอนวินและนักรบทั้งหมดกำลังยกทัพอย่างขึงขังผ่านถนนของโวลิส ทุกคนกำลังเตรียมพร้อมสำหรับสงคราม บรรยากาศอบอวลไปด้วยความตึงเครียด ท่ามกลางท้องฟ้าสีเทาหม่น หิมะตกปรอย ๆ ลงมาอีกครั้ง เธอก้าวย่างไปบนหิมะ เดินเข้าใกล้ประตูหลักของป้อมปราการ เสียงแตรดังขึ้นซ้ำแล้วซ้ำเล่า พ่อของเธอพาคนของเขาออกไปอย่างไม่เกรงกลัว ไคร่ารู้สึกประหลาดใจที่พ่อสามารถเย็นใจได้เพียงนี้ ราวกับว่าเขาเคยเผชิญสถานการณ์เช่นนี้มาเป็นนับพันครั้งแล้ว

ไคร่ามองผ่านกรงเหล็กกั้นประตู เธอเห็นลอร์ดผู้ว่ามาแต่ไกล กำลังนำเหล่าทหารหลายร้อยคนที่แต่งกายในชุดเกราะสีแดง ถือธงสีเหลืองและสีน้ำเงินของแพนดิเซียปลิวไสวอยู่ในสายลม พวกเขาควบม้าสีดำตัวโต สวมชุดเกราะชั้นดีและอาวุธชั้นยอด ทั้งหมดมุ่งหน้ามายังประตูของโวลิส เสียงควบม้าของพวกเขาได้ยินมาถึงที่นี่ ไคร่าสัมผัสได้ถึงพื้นที่กำลังสั่นสะเทือนอยู่ใต้เท้าของเธอ

ในขณะที่ไคร่าเดินไปกับขบวน หัวใจของเธอเต้นกระหน่ำ เธอถือไม้เท้าอันใหม่ ธนูคันใหม่พาดอยู่บนไหล่ของเธอ เธอสวมเกราะแขนใหม่ และเธอรู้สึกเหมือนได้ชีวิตใหม่ อาวุธจริงเหล่านี้ทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นนักรบที่แท้จริง เธอตื่นเต้นที่ได้ครอบครองมัน

ระหว่างการเคลื่อนทัพ ไคร่ารู้สึกยินดีที่เห็นผู้คนของเธอโห่ร้องอย่างไม่เกรงกลัว ทั้งหมดเข้าร่วมการเดินทัพกับพวกเขาเพื่อประจันหน้ากับศัตรู เธอมองเห็นชาวบ้านมองมาที่พ่อและเหล่าทหารด้วยความหวัง เธอรู้สึกเป็นเกียรติที่ได้ร่วมขบวนกับพวกเขา ดูเหมือนพวกเขาจะเชื่อใจในตัวของพ่อเธออย่างล้นเหลือ เธอคิดว่าหากพวกเขาอยู่ภายใต้การนำของผู้อื่น พวกเขาคงไม่ใจเย็นเช่นนี้อย่างแน่นอน

ทหารของลอร์ดเข้ามาใกล้เข้ามา เสียงแตรดังขึ้นอีกครั้ง หัวใจของไคร่าเต้นแรงขึ้นทุกขณะ

“ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น” เอนวินพูด เดินมาข้างเธอและพูดเบา ๆ “ไม่ว่าพวกมันจะเข้ามาใกล้แค่ไหน จงอย่ากระทำการใด ๆ โดยไม่มีคำสั่งของพ่อเจ้า ตอนนี้เขาคือผู้บัญชาการของเจ้า ข้าไม่ได้พูดกับเจ้าในฐานะบุตรสาวของเขา แต่ในฐานะหนึ่งในทหารของเขา หนึ่งในพวกเรา

เธอพยักหน้ากลับ รู้สึกเป็นเกียรติ

“ข้าไม่ได้ต้องการเป็นสาเหตุให้คนของข้าตาย” เธอพูด

“ไม่ต้องกังวล” อัทฟาเอลพูด เดินเข้ามาข้างเธอ “วันนี้ได้เกิดขึ้นมาเป็นเวลานานแล้ว เจ้าไม่ได้เป็นคนเริ่มสงครามครั้งนี้ พวกมันเป็นฝ่ายเริ่ม นับตั้งแต่วินาทีที่พวกมันบุกประตูทางใต้เข้ามาและรุกรานเอสคาลอน”

ไคร่ารู้สึกมั่นใจ กำไม้เท้าในมือแน่น เธอพร้อมสำหรับทุกสิ่งที่จะเกิดขึ้น บางทีลอร์ดผู้ว่าอาจเป็นคนมีเหตุผล บางทีเขาอาจจะเจรจาสงบศึก

ไคร่าและคนอื่น ๆ เดินไปถึงที่กั้นประตู ทั้งหมดหยุดและมองไปยังพ่อของเธอ

เขายืนนิ่ง มองออกไป โดยไม่แสดงสีหน้าใด ๆ ใบหน้าของเขาดุดันและเตรียมพร้อม เขาหันหน้าไปหาเหล่าทหาร

“เราจะไม่หดหัวอยู่หลังประตูเหล็ก เราไม่เกรงกลัวต่อศัตรูหน้าไหน” เขาปลุกระดม “แต่เราจะเผชิญหน้ากับพวกมันนอกประตูอย่างลูกผู้ชาย เปิดประตูขึ้น!” เขาออกคำสั่ง

 

เสียงยกประตูตามมา ทหารค่อย ๆ ยกที่กั้นเหล็กหนาขึ้นไป ในที่สุดมันก็หยุดลงพร้อมเสียงกระแทก ไคร่าและคนอื่น ๆ เดินผ่านไป

พวกเขาเดินขบวนข้ามสะพานไม้ เสียงย่ำเท้าของพวกเขาสะท้อนกึกก้องไปทั่วคูเมือง ทั้งหมดข้ามมาหยุดที่ฝั่งตรงข้าม และกำลังรอ

เสียงกระหึ่มดังไปทั่ว ทหารของลอร์ดหยุดอยู่ห่างจากพวกเขาออกไปเพียงไม่กี่ฟุต ไคร่ายืนอยู่หลังพ่อของเธอหลายฟุต จับกลุ่มกับคนอื่น ๆ เธอเดินแหวกทางไปข้างหน้า เธอต้องการยืนอยู่เคียงข้างพ่อ และต้องการมองทหารของลอร์ดแบบเผชิญหน้า

ไคร่ามองเห็นลอร์ดผู้ว่า ชายวัยกลางคน หัวล้าน ปอยผมสีเทาและพุงกลมโต นั่งอยู่บนหลังม้า เขาดูท่าทางไม่น่าคบหา เขาอยู่ห่างออกไปหลายฟุต จ้องมองลงมาที่พวกเขาราวกับว่าเขานั้นดีเกินไป ทหารของเขาหลายร้อยคนนั่งอยู่บนหลังม้าข้างหลัง ทั้งหมดมีสีหน้าที่จริงจัง ถืออาวุธด้วยท่าทีดุดัน เธอสามารถรับรู้ได้ว่าทหารเหล่านี้เตรียมตัวมาสำหรับสงครามและความตาย

ไคร่ารู้สึกภาคภูมิใจที่เห็นพ่อของเธอยืนอยู่ที่นั่น เบื้องหน้าทหารทั้งหมดของเขา โดยไม่สะดุ้งสะเทือน ไม่เกรงกลัว สีหน้าของผู้บัญชาการสงครามที่เธอไม่เคยเห็นมาก่อน มันไม่ใช่ใบหน้าของพ่อที่เธอเคยรู้จัก แต่มันคือใบหน้าที่มีไว้สำหรับทหารของเขา

ความเงียบอันตรึงเครียดปกคลุมไปทั่วบรรยากาศ เสียงลมพัดโชยมา ลอร์ดผู้ว่าใช้เวลาในการจ้องมองมาที่พวกเขา เห็นได้ชัดว่ากำลังพยายามข่มขู่ พยายามบังคับให้คนของเธอมองขึ้นไป เพื่อพบกับความเยี่ยมยอดของม้า อาวุธและชุดเกราะของพวกเขา ความเงียบยังคงดำเนินต่ออย่างยาวนานจนทำให้ไคร่าเริ่มสงสัยว่าใครจะเป็นคนเริ่มก่อน เธอตระหนักได้ถึงความเงียบของพ่อ การทักทายพวกมันอย่างเงียบ ๆ เย็นชา และยืนอยู่กับทหารที่พร้อมรบ มันคือการแสดงถึงการต่อต้านในตัวของมันเอง เธอชื่นชมเขา เขาไม่ใช่ผู้ชายที่จะยอมก้มหัวให้ใคร ไม่ว่าจะเป็นอย่างไรก็ตาม

มีเพียงเลโอที่ส่งเสียงขู่คำรามอยู่เงียบ ๆ

ในที่สุด ลอร์ดผู้ว่าก็ส่งเสียงกระแอมขึ้นในขณะจ้องมาที่พ่อของเธอ

“ทหารของข้าห้าคนตาย” เขาประกาศ เสียงของเขาขึ้นจมูก เขายังนั่งอยู่บนหลังม้า ไม่ลงมาสบตากับพวกเขาที่ระดับเดียวกัน “ลูกสาวของเจ้าละเมิดกฎอันศักดิ์สิทธิ์ของแพนดิเซีย เจ้ารู้ผลที่จะตามมา การแตะต้องทหารของลอร์ด หมายถึงความตาย”

เขาเงียบลง พ่อของเธอไม่ตอบโต้ใด ๆ หิมะและลมพัดแรงขึ้น เสียงเดียวที่สามารถได้ยินคือเสียงของธงที่กระพือไปมาในสายลม จำนวนของทหารทั้งสองฝ่ายเกือบจะเท่า ๆ กัน ต่างจ้องมองกันและกันท่ามกลางความเงียบอันเคร่งเครียด

ในที่สุดลอร์ดผู้ว่าก็พูดต่อ

“เพราะว่าข้าคือท่านลอร์ดผู้เมตตา” เขาพูด “ข้าจะไม่ลงโทษลูกสาวของเจ้า ไม่ว่าข้าจะฆ่าเจ้า คนของเจ้าและประชาชนของเจ้า มันก็เป็นสิทธิ์ของข้า อันที่จริงข้าต้องการจบเรื่องราววุ่นวายนี้ไว้เบื้องหลัง”

ความเงียบยังคงดำเนินต่อ ผู้ว่าค่อย ๆ มองดูสีหน้าของพวกเขา จนกระทั่งเขามาหยุดที่ไคร่า เธอรู้สึกหนาวสันหลังเมื่อมีสายตาอันน่าขยะแขยงมองมาที่เธอ

“เพื่อเป็นการชดใช้ ข้าจะนำตัวลูกสาวของเจ้าไปตามสิทธิ์ของข้า เธอยังไม่ได้แต่งงาน และด้วยอายุอย่างที่เจ้ารู้ กฎหมายของแพนดิเซียอนุญาตให้ข้า และลูกสาวของเจ้า รวมถึงลูกสาวทั้งหมดของพวกเจ้า เป็นทรัพย์สินของพวกเราแล้ว”

เขายิ้มเยาะมาที่พ่อของเธอ

“คิดเสียว่าเจ้าโชคดีที่ข้าไม่ได้ลงโทษเจ้าอย่างรุนแรง” เขาสรุป

ลอร์ดผู้ว่าหันกลับไปและพยักหน้ากับทหารของเขา ทหารสองคนท่าทางดุร้ายลงจากม้า พวกเขาเดินข้ามสะพานมาพร้อมเสียงฝีเท้าและเดือยรองเท้าที่ดังสะท้อนไปทั่วสะพานไม้

หัวใจของไคร่าเต้นดังในขณะที่พวกเขาเดินเข้ามาหาเธอ เธอต้องการลงมือ เธออยากดึงธนูออกมาและยิงใส่พวกเขา เธอต้องการเหวี่ยงไม้เท้าของเธอ แต่เธอนึกถึงคำพูดของเอนวินที่บอกให้รอคำสั่งของพ่อ การปฏิบัติของทหารที่มีวินัย เธอจึงต้องหักห้ามใจตัวเองให้รอ แม้ว่ามันจะยากเพียงใดก็ตาม

เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้เธอ ไคร่าสงสัยว่าพ่อของเธอจะทำอย่างไร จะยินยอมให้เธอไปกับคนพวกนี้หรือ? เขาจะสู้เพื่อเธอหรือ? ไม่ว่าพวกเขาชนะหรือแพ้ ไม่ว่าพวกมันจะเอาตัวเธอไปหรือไม่ มันไม่สำคัญกับเธอ สิ่งที่สำคัญมากกว่าคือการที่พ่อห่วงใยเธอมากเพียงพอที่จะลุกขึ้นสู้

เมื่อพวกมันเข้ามาใกล้มากยิ่งขึ้น พ่อของเธอก็ยังไม่ลงมือ หัวใจของไคร่าเหมือนถูกบีบด้วยคีมขนาดใหญ่ ความรู้สึกผิดหวังถาโถมเข้ามา พ่อกำลังจะปล่อยให้เธอไป มันทำให้เธออยากร้องไห้ออกมา

เลโอยืนอยู่ข้างหน้าเธอ ขนของมันลุกตั้งชัน มันส่งเสียงขู่คำรามอย่างดุร้าย แต่พวกทหารยังไม่หยุด เธอรู้ว่าถ้าเธอสั่งให้มันกระโจนเข้าใส่ มันจะทำอย่างแน่นอน แต่เธอไม่ต้องการให้มันได้รับอันตรายโดยอาวุธเหล่านั้น เธอไม่ต้องการขัดขืนคำสั่งของพ่อและเพิ่มการจุดชนวนสงคราม

ทหารอยู่ห่างจากเธอเพียงไม่กี่ฟุต ทันใดนั้นพ่อของเธอพยักหน้ากับทหารของเขา ทหารหกคนก้าวมาข้างหน้า ไคร่ารู้สึกดีใจ พวกเขาลดทวนลง ปิดทางให้ไม่ทหารเหล่านั้นเข้ามา

ทหารหยุดนิ่ง เกราะของพวกเขากระทบเข้ากับทวนเหล็กทำให้เกิดเสียงดัง พวกเขามองไปที่พ่อของเธอด้วยความประหลาดใจ ไม่คาดคิดว่าจะเกิดเรื่องเช่นนี้

“เจ้าไปไกลกว่านี้ไม่ได้แล้ว” เขาพูด น้ำเสียงของเขาดุดัน น่ากลัว เสียงที่ไม่มีใครกล้าขัดขืน มันสื่อถึงความเป็นผู้มีอำนาจ ไม่ใช่ข้าหลวง

ในตอนนั้น ไคร่ารู้สึกรักเขามากขึ้นกว่าที่เคย

พ่อของเธอมองไปยังลอร์ดผู้ว่า

“ที่นี่พวกเราคือเสรีชน” เขาพูด “ผู้ชายและผู้หญิง คนชราและหนุ่มสาวก็เช่นกัน ตัวเลือกเป็นของเธอ ไคร่า” เขาพูดและหันไปหาเธอ “เจ้าต้องการไปกับคนพวกนี้หรือไม่?”

เธอจ้องกลับไปด้วยรอยยิ้ม

“ไม่” เธอตอบอย่างมั่นใจ

เขาหันไปหาลอร์ดผู้ว่า

“ท่านได้คำตอบแล้ว” เขาพูด “ตัวเลือกที่เธอเลือก ไม่ใช่ท่าน และไม่ใช่ข้า ถ้าท่านหวังจะได้ทรัพย์สินบางอย่างหรือทองคำของข้าเพื่อเป็นการชดใช้ความสูญเสียของท่าน” เขาพูดกับผู้ว่า “เช่นนั้นท่านจะได้มัน แต่ท่านจะไม่ได้บุตรสาวของข้า หรือของใครก็ตาม ข้าไม่สนว่ากฎหมายของแพนดิเซียจะเขียนไว้อย่างไร”

ลอร์ดผู้ว่ามองดูตาถลึง ความตกตะลึงปรากฏบนใบหน้าของเขา เห็นได้ชัดว่าไม่เคยมีใครเคยพูดกับเขาแบบนั้นหรือแสดงการขัดขืนมาก่อน ดูเหมือนเขาจะไม่รู้ว่าต้องทำอย่างไร เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ใช่การตอบรับที่เขาคาดหวัง

“เจ้าบังอาจขวางทางทหารของข้าหรือ?” เขาถาม “ปฏิเสธข้อเสนอของข้างั้นหรือ?”

“มันไม่ใช่ข้อเสนอตั้งแต่แรกแล้ว” ดันแคนตอบ

“คิดให้ดีข้าหลวง” เขาข่มขู่ “ข้าจะไม่ให้ข้อเสนอครั้งที่สอง ถ้าเจ้าปฏิเสธข้า เจ้าจะพบกับความตาย เจ้าและผู้คนทั้งหมดของเจ้า เจ้ารู้อยู่แล้วว่าเข้าไม่ใช่ตัวคนเดียว ข้าพูดแทนกองทัพอันยิ่งใหญ่ของแพนดิเซีย เจ้าคิดว่าเจ้าสามารถเผชิญหน้ากับกองทัพแพนดิเซียได้ตามลำพังเมื่อพระราชาของเจ้าได้ยอมจำนนอาณาจักรแล้วหรือ? เจ้าต้องการเดิมพันกับการต่อสู้ที่เสียเปรียบงั้นหรือ?”

พ่อของเธอยักไหล่

“ข้าไม่ได้เดิมพันกับการต่อสู้” เขาตอบ “ข้าสู้ด้วยเหตุอันควร จำนวนคนของเจ้าไม่มีผลกับข้า สิ่งที่สำคัญคืออิสรภาพของพวกเรา เจ้าอาจจะชนะการต่อสู้ แต่เจ้าไม่ได้ชนะจิตวิญญาณของพวกเรา”

ใบหน้าของผู้ว่าดุดันขึ้น

“เมื่อผู้หญิงและเด็กทั้งหมดถูกพรากมาจากเจ้า” เขาพูด “จงจดจำสิ่งที่เจ้าได้เลือกในวันนี้”

ลอร์ดผู้ว่าหันหลังกลับ เตะม้าของเขาและขี่ออกไป ตามด้วยคนติดตามมากมาย มุ่งหน้ากลับสู่เส้นทางของชานเมืองที่เต็มไปด้วยหิมะ

ทหารของเขายังคงยืนอยู่ด้านหลัง ผู้บัญชาการของเขายกธงขึ้นสูงและสั่งการ “โจมตี!”

ทหารของลอร์ดทั้งหมดลงมาจากม้า เรียงแถวหน้ากระดาน ยกทัพเข้ามาอย่างเป็นระเบียบ มุ่งหน้ามาที่สะพาน เข้ามาหาพวกเขา

ไคร่าใจเต้นรัว เธอมองไปที่พ่อ เช่นเดียวกับคนอื่น กำลังรอคำสั่งของเขา และทันใดนั้น พ่อของเธอชูกำปั้นขึ้นสูง และชี้ไปด้านหน้า พร้อมด้วยการตะโกนกู่ร้องอย่างดุดัน

ท้องฟ้าเบื้องบนเต็มไปด้วยธนู ไคร่าหันไปข้างหลัง พลธนูของพ่อเธอหลายคนเล็งมาจากฐานที่มั่นและยิงออกไป เธอได้ยินเสียงธนูแหวกผ่านอากาศ ลูกธนูพุ่งเข้าใส่ทหารของลอร์ดทั้งด้านซ้ายและด้านขวา

บรรยากาศเต็มไปด้วยเสียงร้อง คนตายมากมายรายล้อมอยู่รอบตัวเธอ นี่เป็นครั้งแรกที่เธอมองเห็นคนตายจำนวนมากอย่างใกล้ชิด ภาพที่เห็นทำให้เธอต้องตกตะลึง

ในเวลาเดียวกัน พ่อของเธอชักดาบสั้นออกจากเอว ก้าวไปข้างหน้าและแทงทหารสองคนที่จะมานำตัวลูกสาวของเขา ทั้งคู่ล้มลงไป นอนตายอยู่แทบเท้า

เอนวิน ไวดาร์ และอัทฟาเอล ยกหอกของพวกเขาขึ้นแล้วขว้างออกไป หอกแต่ละอันพุ่งเสียบทหารที่กำลังถาโถมเข้ามายังสะพาน แบรนดอนและแบร็กซ์ตันก็ขว้างหอกของพวกเขาออกไปเช่นกัน อันหนึ่งถากแขนของทหาร อีกอันถากขาของทหาร ทำให้พวกเขาได้รับบาดเจ็บ

ทหารจำนวนมากพุ่งเข้ามา ไคร่าวางไม้เท้าของเธอไว้ข้างตัว ยกธนูคันใหม่ของเธอขึ้นเป็นครั้งแรก ใส่ลูกธนูและยิงออกไป เธอเล็งไปยังผู้บัญชาการที่อยู่บนหลังม้า เขากำลังนำเหล่าทหารบุกเข้ามา เธอมองด้วยความพอใจที่เห็นลูกธนูของเธอลอยผ่านอากาศและปักลงบนหน้าอกของเขา มันเป็นการยิงครั้งแรกด้วยธนูคันใหม่ และเป็นการฆ่าคนครั้งแรกในการต่อสู้ที่แท้จริง เมื่อผู้บัญชาการของพวกเขาล้มลง เธอมองดูสิ่งที่ทำลงไปด้วยความตกใจ

ในขณะเดียวกัน ทหารของลอร์ดหลายสิบคนยกธนูของพวกเขาขึ้นและยิงสวนกลับ ไคร่ามองดูด้วยความกลัว ลูกธนูพุ่งแหวกอากาศมาจากอีกฟากหนึ่ง ทหารของพ่อบางส่วนร้องโหยหวน พวกเขาได้รับบาดเจ็บและล้มลงรอบ ๆ เธอ

“เพื่อเอสคาลอน!” พ่อของเธอตะโกน

เขาชักดาบออกมาและนำกองกำลังเข้าโจมตี พุ่งไปยังกลุ่มทหารของลอร์ด ทหารของพ่อติดตามไปอย่างกระชั้นชิด ไคร่าดึงไม้เท้าของเธอออกมาและเข้าร่วมด้วย เธอรู้สึกมีความสุขที่ได้เข้าสู่การต่อสู้ เธอต้องการที่จะอยู่เคียงข้างพ่อของเธอ

ทหารของลอร์ดกำลังเตรียมยิงธนูอีกระลอก และในไม่ช้าลูกธนูได้พุ่งมาที่พวกเขาเหมือนห่าฝน

แต่แล้วไคร่าก็ต้องตกใจ เมื่อทหารของพ่อยกโล่ขนาดใหญ่ขึ้นมาสร้างเป็นกำแพง ในขณะที่พวกเขาย่อตัวและก้มลงอย่างพร้อมเพรียง เธอนั่งลงข้างหลังหนึ่งในพวกเขา และแล้วเสียงอันน่ากลัวของลูกธนูที่ปักลงบนโล่ก็หยุดลง